×

เลือกตั้ง 2566 : ‘ชูวิทย์’ เปรียบเพื่อไทย-ก้าวไกล คือ อา-หลาน แยกจากกันไม่ได้ ชี้ตำแหน่งประธานสภาสำคัญกับก้าวไกลมากกว่า

25.05.2023
  • LOADING...
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

วานนี้ (24 พฤษภาคม) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ให้สัมภาษณ์ในรายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ถึงการจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลไม่มีทางแยกออกจากกันได้ ต่อให้จะมีกระแสข่าวอะไรก็ตาม เสมือน ‘พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ผูกขาไว้กับพรรคก้าวไกล’

 

ชูวิทย์เปรียบเทียบทั้ง 2 พรรคว่าเป็น ‘อากับหลาน’ โดยพรรคเพื่อไทยคือพรรคที่มีประสบการณ์ เหมือนทีมคนแก่กับอา ส่วนพรรคก้าวไกลคือพรรคที่ไร้ประสบการณ์ เหมือนทีมเด็กกับหลาน อย่างไรก็ตาม การจับมือของอากับหลานก็ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เนื่องจากความคิดของคนทั้งสองแตกต่างกัน

 

ขณะที่ประเด็นการสัมภาษณ์ในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยของ แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า “เราไม่หวังส้มหล่น เราจะช่วยก้าวไกลตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ” ชูวิทย์มองว่าเป็นการสนับสนุนต่อพรรคก้าวไกลและ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ให้ดำเนินการไปจนสุดทาง ซึ่งจากประสบการณ์การเมืองของคนในพรรคเพื่อไทย คงไม่มีทางที่จะสนับสนุนพรรคอื่นๆ ที่ไม่ได้คะแนนเสียงข้างมากเท่ากับพรรคก้าวไกล  

 

ส่วนกรณีการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอิงตามไทม์ไลน์ของ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 25 กรกฎาคม ชูวิทย์มองว่ามีความสำคัญกับพรรคก้าวไกลมากกว่าพรรคเพื่อไทย เนื่องจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลมีเพียงแค่พิธา ส่วนพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดต 3 คน ได้แก่ แพทองธาร ชินวัตร, เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งหากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ผ่าน แต่ตำแหน่งประธานสภามาจากพรรคก้าวไกล ก็ยังสามารถโหวตชื่อพิธาได้อยู่ 

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าประธานสภามาจากพรรคเพื่อไทย ก็มีสิทธิที่จะนำชื่อพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 2 หรือพรรคเพื่อไทยไปเข้าบรรจุวาระ และให้ ส.ว. เลือก ซึ่ง ส.ว. จะเลือกผ่านแน่นอน เนื่องจากไม่ได้มีประเด็นการถือหุ้นสื่อ ITV เหมือนกับพิธา ซึ่งเป็นเกมที่ติดตั้งโดยฝั่งพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐจากบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญปี 2560

 

“ถ้าดูแบบบ้านๆ ก็ต้องสรุปว่า ความสำคัญของประธานสภาก็ต้องยกให้ก้าวไกล เพราะเมื่อคุณได้สเต๊ก (เนื้อ) วากิว หรือตำแหน่งรัฐมนตรีคมนาคมไปแล้ว และมีแคนดิเดตนายกฯ ตั้ง 3 คน ในขณะที่แคนดิเดตนายกฯ ก้าวไกลมีแค่คนเดียว และมันจะผิดธรรมชาติว่าให้โหวตพิธาไปเรื่อยๆ ถ้าโหวตแล้วไม่ผ่านก็ต้องเปลี่ยนคนแล้ว” ชูวิทย์กล่าว

 

ชูวิทย์พูดถึงปมถือหุ้นสื่อของพิธาว่า มีโอกาสที่จะไม่รอด หรือไปไม่ถึงวันโหวตนายกรัฐมนตรี (3 สิงหาคม) เพราะอำนาจตัดสินมาจากองค์กรกลางที่จะกำหนดต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ 

 

ทั้งนี้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกลคือ พรรคก้าวไกลไม่มีเจ้าของพรรคที่แท้จริง ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากพรรคอื่น อาจทำให้ไม่สามารถประเมินอนาคตของพรรคก้าวไกลได้ว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะผู้นำพรรค ซึ่งคนในพรรคอาจเทไปฝ่ายค้าน หรือลาออกยกพรรคทันทีก็เป็นได้ ขณะที่พรรคอื่นๆ มีเจ้าของหรือผู้นำพรรคที่ชัดเจน

 

ส่วนโอกาสที่ ส.ว. จะเลือกพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ชูวิทย์มองว่า เต็มที่คงได้แค่ 30 คน จากทั้งหมด 250 คน เนื่องจาก ส.ว. ส่วนมากยังคงอ้างประเด็นเรื่องการถือหุ้นสื่อ ITV ของพิธา ดังนั้น 376 เสียงที่พรรคก้าวไกลหวังในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคงเป็นไปได้ยาก 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising