×

ผลจากการปิดทำการกว่า 80% ของพื้นที่ขายทั้งหมด ทำ ‘เซ็นทรัล รีเทล’ รายได้ลด 10% พลิกขาดทุน 2,519 ล้านบาท ลดลง 243%

17.08.2020
  • LOADING...

จากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจในเครือบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ต้องปิดทำการกว่า 80% ของพื้นที่ขายทั้งหมด เป็นระยะเวลามากกว่าครึ่งของไตรมาส 2 หรือประมาณ 46 วันจาก 91 วัน โดยในประเทศไทยต้องปิดร้านกว่า 90% ส่วนในเวียดนามต้องปิดกลุ่ม Non-food ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2563 ส่วนประเทศอิตาลีได้ปิดให้บริการห้างสรรพสินค้าจำนวน 9 สาขา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม ถึง 17 พฤษภาคม 2563

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้กระทบกับผลการดำเนินงานเป็นอย่างมาก โดยผลประกอบการไตรมาส 2/63 ที่เพิ่งรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าผลจากมาตรการล็อกดาวน์และการประกาศเคอร์ฟิว ประกอบกับปัจจัยลบต่างๆ ทั้งการหดตัวของภาคการท่องเที่ยวและกำลังซื้อที่อ่อนแรงของผู้บริโภค ส่งผลให้รายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 41,376 ล้านบาท ลดลง 21% และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 2,519 ล้านบาท ลดลง 243% หรือลดลง 4,287 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

 

“หากเทียบในช่วงเวลาแห่งความท้าทายดังกล่าว ยอดขายของบริษัทต้องลดลงกว่า 50% แต่แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการช้อปปิ้งออนไลน์ โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม Omni-channel ที่พัฒนามากว่า 3 ปี ทำให้ยอดขายในไตรมาส 2 ลดลงเพียง 21% เท่านั้น” ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

เมื่อเจาะเข้าไปในแต่ละธุรกิจ พบว่า ‘กลุ่มแฟชั่น’ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด รายได้จากการขายอยู่ที่ 8,121 ล้านบาท ลดลง 47.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากการต้องปิดร้านชั่วคราว แม้ภายหลังจะเปิดได้ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเวลาการเปิดให้บริการ การเว้นระยะห่างในการเข้าใช้บริการ ประกอบกับลูกค้ายังคงมีความกังวลในสถานการณ์ และออกมาจับจ่ายใช้สอยเฉพาะสินค้าจำเป็น ในช่วงแรกยอดขายจึงยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ และค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในเดือนมิถุนายน ในขณะเดียวกันยอดขายออนไลน์พบว่าเติบโตกว่า 400% ด้วยกัน

 

กลุ่มฮาร์ดไลน์มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 11,642 ล้านบาท ลดลง 3.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปิดสาขาชั่วคราว แต่หลังจากมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาลในเดือนมิถุนายน ยอดขายเติบโตได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนจากปัจจัยหนุนของธุรกิจฮาร์ดไลน์และแนวโน้มของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบ้าน ประกอบกับการรวมธุรกิจกับเหงียนคิม (ร้านจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศเวียดนาม) ในเดือนมิถุนายน ปี 2562 ส่งผลให้ยอดขายของไตรมาส 2 ลดลงน้อยกว่าส่วนงานอื่น

 

กลุ่มฟู้ดมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 17,189 ล้านบาท ลดลง 10.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ถึงแม้ว่าร้านค้าในส่วนงานฟู้ดสามารถเปิดให้บริการได้ แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตถูกจำกัดช่วงเวลาการเปิดดำเนินการ ส่วนร้านสะดวกซื้อได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐ เช่น การจำกัดการเดินทาง การขอความร่วมมือให้อยู่ในที่พักอาศัย มาตรการเคอร์ฟิว ทำให้จำนวนลูกค้า (ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยว) ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดขายของซูเปอร์มาร์เก็ตเวียดนามมีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจากการเปิดสาขาใหม่

 

ในขณะที่รายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 95,661 ล้านบาท ลดลง 10% และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 1,629 ล้านบาท ลดลง 139% หรือลดลง 5,831 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายที่ลดลง เป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

 

อย่างไรก็ตาม ญนน์ระบุว่า CRC ยังมองเห็นโอกาสฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากสัญญาณบวกต่างๆ ทั้งนโยบายของภาครัฐและศักยภาพของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี และกระตุ้นการจ้างงาน โดยเฉพาะแรงงานในภาคค้าปลีกและบริการที่มีมากกว่า 19 ล้านคนในระบบ 

 

ส่วนแผนธุรกิจในระยะยาวเน้นไปที่แพลตฟอร์ม Omni-channel โดยบริการออนไลน์จะเปิดตัวที่รีนาเชนเต ประเทศอิตาลี ในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ยังเน้นการจัดการประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และเน้นการลงทุนขยายสาขา Strategic Growth Projects ทั้งในและนอกประเทศ เช่น การขยายสาขาไทวัสดุ, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์, ท็อปส์ มาร์เก็ต และ GO! เวียดนาม เพื่อเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตต่อไป

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising