×

โรม ซักฟอกประยุทธ์ ถามเกิดตั๋วช้าง ภาค 2 หรือไม่ ชี้อนุมัติงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม พล.ต.ต. ‘ก’ กลบหนี้เน่า ทุจริตกองบินตำรวจ

โดย THE STANDARD TEAM
22.07.2022
  • LOADING...
รังสิมันต์ โรม

วันนี้ (22 กรกฎาคม) รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ กรณีปล่อยปละละเลยทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจ ทั้งยังมีการยอมให้ใช้ ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งเป็นเกราะกำบังเพื่อไม่ให้ใครหรือหน่วยงานใดกล้าตรวจสอบได้

 

รังสิมันต์กล่าววว่า คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ พล.ต.ต. ‘ก’ ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจ (บ.ตร.) โดยระหว่างนั้นได้ดำเนินการเซ็นสัญญาโครงการซ่อมบำรุงอากาศยานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2564 การบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดย พล.ต.ต. ‘ก’ และพวก ได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 ของทั้งหมดนี้ กองบินตำรวจไม่สามารถเบิกจากคลังมาจ่ายได้ และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบกลับถูกเตะถ่วง ทำให้ล่าช้า และทำซ้ำไปมา ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบครั้งแรกเริ่มต้นจากการเสนอเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งให้จเรตำรวจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ในเดือนมีนาคม 2564 แต่กลับใช้เวลากว่า 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้ และเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2564 

 

“ทว่าภายหลังกระบวนการตรวจสอบโดยจเรตำรวจสิ้นสุด กลับมีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปกองวินัยตำรวจเพื่อตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่อีก ขนาดว่าทางกองบินตำรวจทวงถามเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไปอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ก็มีคำตอบกลับมาว่ายังร่างคำสั่งไม่เสร็จ และกว่าจะได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่กันจริงๆ คือช่วงปลายเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าตั้งมาแล้วผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็ยังวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนตัวกรรมการไม่เลิก” รังสิมันต์กล่าว

 

รังสิมันต์ยังได้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงไปถึง พล.อ. ประยุทธ์ ว่า ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจ ได้ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหนังสือขอความช่วยเหลือมายังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 และต่อมา พล.อ. ประยุทธ์ ได้ลงนามท้ายหนังสือรับทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังปล่อยปละละเลยไม่เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ถ่วงเวลาจนกระทั่งกรมบังคับคดีซึ่งดูแลเรื่องการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยส่งหนังสือทวงหนี้ 1,824 ล้านบาท มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะปฏิเสธหนี้ก้อนนี้ได้ เพราะตามขั้นตอนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีเวลาในการปฏิเสธหนี้ภายใน 14 วัน แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกลับล่าช้า ทำหนังสือปฏิเสธหนี้ตอบกลับไปเกินเวลาที่กำหนด ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องชำระหนี้การบินไทยเป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่หนี้ลดลงจากเดิม เนื่องจากทางตำรวจไปขอต่อรองกับการบินไทยให้ยกเลิกรายการบางส่วนที่ยังไม่ได้รับพัสดุมาได้

 

“ต่อมา พล.อ. ประยุทธ์ จึงใช้วิธีอนุมัติงบกลางเพื่อใช้หนี้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 และในวันที่ 12 เมษายน 2565 ครม. ก็อนุมัติอีกที รวมถึงยังอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในงบประมาณปี 2563 ด้วย มตินี้จึงเหมือนเป็นทั้งการฟอกขาวให้ไปในตัว ทั้งยังนำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับการทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจอีกด้วย”

 

รังสิมันต์ยังอภิปรายต่ออีกว่า นอกจากการสั่งซื้อสั่งจ้างเกินกว่างบที่วางไว้แล้ว เอาภาษีประชาชนไปจ่ายแทนแล้ว ยังมีอีกกรณีทุจริตจากการที่ พล.ต.ต. ‘ก’ ไปทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยานด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยรวบรวมเอาอะไหล่เก่าๆ ที่เสื่อมสภาพแล้วไปแลกกับชุดใบพัดหางเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ชุด ซึ่งในเรื่องนี้จากคำสั่ง ตร. ระบุว่า ตำแหน่งระดับผู้การกองบินมีอำนาจอนุมัติวงเงินได้แค่ 5 ล้านบาทเท่านั้น หรือในระเบียบกระทรวงการคลังระบุไว้ว่าวงเงินต้องไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อมีการประเมินราคาของที่ พล.ต.ต. ‘ก’ นำไปแลกจำนวนทั้งหมด 6,622 ชิ้น นั้นพบว่าราคารวมกันสูงถึง 1,157 ล้านบาท และในจำนวนนี้ยังพบด้วยว่ามีคำสั่งให้เอาอะไหล่ของเครื่องบิน Skyvan 1 ลำ 4 ชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเครื่องยนต์ 2 ชิ้น และอะไหล่ของเฮลิคอปเตอร์ Bell 3 ลำ อีก 21 ชิ้น ไปยำรวมกับเศษเหล็กด้วย โดยอะไหล่ดังกล่าวที่สวมเข้ามาในบัญชีแลกเปลี่ยนนี้ยังใช้งานได้ทั้งหมด ประเมินแล้วมีมูลค่าประมาณ 111 ล้านบาท แต่เมื่อนำไปยำรวมกับเศษเหล็กมูลค่าจึงเหลือเพียง 2.5 ล้านบาทเท่านั้น และกรณีนี้เมื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบก็มีการเตะถ่วง ตั้งคณะกรรมการสอบวนไปวนมาเช่นเดิม 

 

รังสิมันต์ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า จากพฤติกรรมที่ส่อทุจริตในกองบินตำรวจมีความชัดเจนทั้ง 2 กรณี และ พล.อ. ประยุทธ์ รู้ปัญหาดีมาตลอดเพราะเป็นผู้เซ็นรับทราบด้วยตัวเอง แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อ พล.ต.ต. ‘ก’ เลย ไม่มีแม้กระทั่งการถูกพักงาน จึงทำให้ตนเกิดความสงสัยและไปตรวจสอบต่อว่าเป็นเพราะเหตุใด บุคคลนี้ใหญ่มาจากไหน ทำไมจึงไม่มีใครแตะต้อง จนได้ไปพบข้อมูลว่า พล.ต.ต. ‘ก’ มีฐานะเป็น ผบ. ศปก.ถปภ.ขบวน ฮ.เดโชชัย 5 ที่ตั้งขึ้นตามแผนถวายความปลอดภัย

 

รังสิมันต์กล่าวว่า “ในช่วงที่ พล.ต.ต. ‘ก’ จะต้องย้ายเพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง ได้มีการทำหนังสือกราบบังคมทูล เนื้อหาระบุว่า ตนเคยเป็นผู้บังคับการกองบินตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่นักบินเฮลิคอปเตอร์และผู้อำนวยการเดินทางถวาย แต่กำลังจะถูกย้ายไปอยู่หน่วยอื่น ถ้ามีพระประสงค์จะให้ปฏิบัติงานต่อ จักได้ดำเนินการต่อไป ต่อมาจึงมีหนังสือตอบกลับจากสำนักพระราชวัง ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ซึ่งตอนนั้น พล.ต.ต. ‘ก’ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการอยู่ที่สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

 

สำหรับ ศปก.ถปภ.ขบวน ฮ.เดโชชัย 5 หรือศูนย์เดโชชัย 5 มีชื่อเต็มๆ ว่า ‘ศูนย์ปฏิบัติการถวายความปลอดภัยสำหรับขบวนเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ โดยให้มีอำนาจสั่งการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในการจัดเฮลิคอปเตอร์พระราชพาหนะ และยังกำหนดให้กองบินตำรวจต้องคอยรับผิดชอบและปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมาจาก ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการฯ ซึ่ง ผอ. ที่ว่านี้ก็คือ พล.ต.ต. ‘ก’

 

อย่างไรก็ตาม ตามโครงสร้างปัจจุบัน มีเพียงกองบินตำรวจเท่านั้นที่ขึ้นตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีชื่อศูนย์นี้ระบุไว้ว่าสังกัดหน่วยงานใด จึงเป็นคำถามว่าศูนย์นี้ตั้งขึ้นมาโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายอะไร และทำไมจึงสั่งการกองบินตำรวจได้

 

รังสิมันต์ตั้งคำถามต่อไปว่า กรณีนี้จึงเหมือนเป็นการเอาหนังสือจากสำนักพระราชวังมาอ้าง โดยบอกว่าเพื่อวางแผนถวายความปลอดภัย แบบนี้จึงเท่ากับเป็น ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งใช่หรือไม่ และคนที่เซ็นออกแผนก็คือเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.ต. ‘ก’ เหมือนเพื่อนช่วยเพื่อนให้มีวิธีอยู่ในตำแหน่งที่สามารถสั่งการกองบินตำรวจเช่นเดิมได้

 

“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พล.อ. ประยุทธ์ หายไปไหน ทำไมจึงปล่อยให้ทำสิ่งต้องห้าม ไปนำสถาบันมาเป็นเกราะกำบังเพื่อสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด เพราะเมื่อได้ตั๋วมาแล้วคงไม่มีใครกล้าตรวจสอบแน่ โดยผลกระทบจากกรณีนี้อย่างน้อยมี 2 ประการ หนึ่ง พล.ต.ต. ‘ก’ ที่ต้องขาดจากตำแหน่งเดิมตามข้อบังคับ สามารถเอาตำแหน่ง ผอ.กองบินเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์และผู้อำนวยการเดินทางถวาย ซึ่งเป็นตำแหน่งของกองบินตำรวจมาเป็นตำแหน่งติดตัว โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของตำรวจอย่างไรก็ได้ เพราะถ้ามีตั๋วก็ทำได้หมด

 

“สอง ไม่มีความปลอดภัย เพราะเมื่อ พล.ต.ต. ‘ก’ ถูกย้ายไปอยู่ในหน่วยที่ไม่ต้องทำการบินแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพตามระเบียบ จึงเท่ากับขาดคุณสมบัติในการเป็นนักบินและทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ต้องตกอยู่ในอันตราย นั่นจึงหมายความว่า พล.อ. ประยุทธ์ บกพร่องที่สุดในการถวายความปลอดภัย เพราะได้ถวายนักบินเถื่อนไม่ตรวจสุขภาพทำการบินใช่หรือไม่” 

 

รังสิมันต์อภิปรายต่อไปว่า พล.อ. ประยุทธ์ คือบุคคลสำคัญที่สุดที่เป็นผู้สานต่อวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด วัฒนธรรมทุจริตแล้วได้ดิบได้ดี ให้แผ่ไพศาลไปทั่วทุกระบบราชการ ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่รวมทั้งทหาร, ครู, ศาล, อัยการ และราชการอื่นๆ ใดๆ ทั้งหมดทั้งปวง ฉุดลากเอาระบบราชการของประเทศนี้ที่ตกต่ำอยู่แล้วให้ตกต่ำลงไปอีก ในแบบที่ไม่อาจเห็นได้เลยว่าก้นบึ้งของความตกต่ำนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน จึงหวังว่าการอภิปรายของตนรอบนี้จะทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ สำเหนียกว่าตัวเองไม่คู่ควรอีกแล้วที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศจากนี้และตลอดไป แล้วจงพิจารณาตัวเอง ไสหัวของท่านออกไปเสีย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising