วันนี้ (16 กุมภาพันธ์) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติ โดยมี ชวน หลีกภัย ประธานสภา เป็นประธาน
ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดพิษณุโลก พรรคก้าวไกล ได้เปิดเผยรายละเอียดที่มาที่ไปของเหตุการณ์กราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปี 2563 โดยแสดงหลักฐานให้เห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นความเพิกเฉยต่อการทุจริตของกองทัพ จนนำไปสู่เหตุโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตจำนวน 50 ราย บาดเจ็บอีก 8 คน
“เวลากว่า 3 ปีที่เกิดเหตุกราดยิงโคราช ถือเป็นเหตุการณ์กราดยิงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือสาเหตุในการตัดสินใจของผู้ก่อเหตุ คือความโกรธแค้นที่ตัวเองถูกโกงเงินบ้านพักกองทัพบก เขาโกรธแค้นวัฒนธรรมคอร์รัปชัน ซึ่งผลปฏิรูปกองทัพคือการที่เราได้ทหารเป็นโจรในเครื่องแบบ ใส่หน้ากากคนดีที่อ้างว่ารักชาติ ความสงบ” ปดิพัทธ์กล่าวเริ่มต้นการอภิปราย
ปดิพัทธ์กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์กราดยิงที่โคราชนั้น มีสาเหตุหลักมาจากความโกรธแค้นที่ถูกโกงเงินในโครงการซื้อบ้านของกองทัพบก ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2554 โดยทหารที่จะเข้าร่วมซื้อบ้านต้องได้รับการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก่อน ทางกรมก็จะออกใบอนุญาต มีการตรวจหลักทรัพย์และเอาเช็คเงินสดไปขึ้นเงิน โดยการอนุมัตินี้เกี่ยวข้องกับทหาร 3 ตำแหน่ง ได้แก่ เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ผู้อำนวยการกองการออมทรัพย์ เสธ.หัวหน้าเงินกู้ และมีมือมืดยศทหารทั่วไป ทำหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียม 5% และเงินค่าส่วนต่าง
ปดิพัทธ์กล่าวอีกว่า แม้เจ้ากรมสวัสดิการทหารบกได้ยืนยันในที่ประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ไปแล้วว่า กำลังพลต้องไปเอาเช็คเงินสดเองทุกใบ แต่หลักฐานการรับเช็คเงินสด พรรคก้าวไกลได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง 2 รายว่า ชื่อจ่า ส. เป็นเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการทหารบก ทำหน้าที่ในการปลอมลายเซ็น รับเช็คเงินสดแทนกำลังพลในปี 2554-2563 รวมแล้ว 620 รายการ มูลค่า 812 ล้านบาท
วิธีการคือ จ่า ส. จะนำเงินเข้าบัญชีของตัวเองก่อน จากนั้นจะโอนต่อไปให้ผู้ประกอบการขายบ้านโดยไม่ให้กำลังพลได้รับเงินกู้ด้วยตนเอง จากนั้นผู้ประกอบการขายบ้านต้องโอนเงินไป 5% ไปให้มือมืดคนที่ 2 ชื่อ จ่า ธ. ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแฟ้มผู้ประกอบการทั้งหมด จะโอนเงินต่อไปให้นาย โดยมีการผลัดกันเป็นหัวหน้าที่มีตำแหน่ง เสธ. ที่ดูแล 3 คน โดยที่จำนวนเงินเหล่านั้นไม่ได้จบที่หัวหน้า เสธ. แน่นอน
จากนั้นปดิพัทธ์ได้นำหลักฐานซึ่งเป็นสมุดบัญชีออมทรัพย์ หลักฐานการโอนเงินบัญชีของจ่า ส. ที่มีหน้าที่รับเงินกู้บ้านไปแจกจ่ายต่อ ซึ่งมีเงินเดินบัญชี 181 ล้านบาท ทุกๆ 3 วัน หากไล่ดูบัญชีในช่วงต่างๆ จะพบสิ่งที่น่าผิดสังเกตว่า นายทหารยศจ่าคนหนึ่งในกองทัพบกมีเงินเดินในบัญชีสูงถึงหลักแสนหรือล้านบาทในแต่ละวัน
จากนั้นเปิดแชตไลน์ของจ่า ธ. พูดคุยกับผู้ประกอบการชื่อ ‘ก้อย’ ที่ระบุถึงการหักหัวคิวให้ เสธ. 50,000 บาท โดยที่ เสธ. เงินกู้คนนี้ นอกจากจะกินเงินค่าหัวคิว ยังเพิ่มเงินอีก 50,000 บาท แถมเอาเงินที่ตัวเองร่ำรวยมาไปปล่อยกู้ต่อ ทำให้ผู้ประกอบการรายนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีกเดือนละ 100,000 บาท
ปดิพัทธ์กล่าวอีกว่า หาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะลุกขึ้นมาตอบว่าเป็นเรื่องของทหารไม่กี่คนที่ทุจริต แต่เรื่องดังกล่าวก็เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่สืบสานการทุจริตแบบรุ่นสู่รุ่น นักเรียนนายร้อยรักกันจริงๆ ไม่ปล่อยให้เพื่อนอดอยาก อิ่มกันทุกคน แม้ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในเวลานั้น จะออกมาชี้แจงว่าเหตุกราดยิงนั้นมีมูลเหตุจากเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่กองทัพ
ปดิพัทธ์กล่าวต่อไปว่า นอกจากมีการหักหัวคิวแล้วยังหักเงินส่วนต่างค่าบ้านด้วย โดยมีผู้ประกอบการรายหนึ่งได้อาศัยช่องว่างในการโกงที่อมเงินของนายทหารผู้ก่อเหตุกราดยิง ชื่อ ‘ป้าอนงค์’ คือคนถูกยิงตายคนแรก เป็นแม่ยายทหารที่ออกเงินกู้ และสนิทสนมกับนายทหารหลายคน มีบารมีมาก เคยใช้เส้นสายเคลียร์เรื่องให้กับ ‘ก้อย’ และถือวิสาสะเอาบ้านของ ‘ก้อย’ ไปขายให้กำลังพลหลายนายแล้วอมเงินจำนวน 450,000 บาท จนท้ายที่สุดความแตก
จากนั้นปดิพัทธ์ได้เปิดคลิปเสียงช่วงที่มีการเคลียร์กันระหว่างป้าอนงค์และกำลังพล และอีกคลิปเป็นคลิปที่ป้าอนงค์พูดคุยกับ เสธ. ช. ที่รับผิดชอบขณะนั้น พร้อมทั้งกล่าวอย่างมั่นใจว่าเจ้ากรมสวัสดิการทหารบกทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเหตุกราดยิงโคราช 25 วัน หากกองทัพบกเพียงไปหยิบแฟ้มงานของป้าอนงค์มาดู ก็จะเห็นได้ว่ามีการโกงค่าส่วนต่างกำลังพลรายใดไปบ้าง และก็จะได้เห็นชื่อของจ่าผู้ก่อเหตุเป็นหนึ่งในรายชื่อเหล่านั้น แต่เมื่อกองทัพบกไม่ได้ดำเนินการใดๆ จึงนำไปสู่โศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น” ปดิพัทธ์กล่าว
ปดิพัทธ์กล่าวต่อไปว่า บทสนทนาที่เกิดขึ้นในวันที่มีเหตุการณ์กราดยิงโคราช ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามีการรับรู้ถึงกระบวนการอมเงินส่วนต่างค่าบ้านมานานแล้วเป็นเวลาเกือบเดือน แต่ไม่มีใครทำอะไรทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ พล.ต. ว. พิมพ์แชตบอกกับ ‘ก้อย’ ว่า “เริ่มเป็นไปตามขั้นตอนที่หนูคิดไว้ ถ้าเชื่อหนูสักนิด คงไม่บานปลายขนาดนี้ คนอื่นคงไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย”
หลังเกิดเหตุการณ์ ทาง พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้ออกมาสั่งการให้ยกเลิกโครงการบ้านพักทิ้งไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการขาดทุนเป็นหนี้กันหลายราย รวมถึง ‘ก้อย’ ที่เอาเรื่องการทุจริตไปร้องเรียนต่อ แต่แทนที่จะได้รับการแก้ไขปัญหา กลับมีความพยายามไกล่เกลี่ยให้จบเรื่อง มีหลักฐานเป็นบันทึกเสียงสนทนาที่ทำให้เห็นได้ชัดว่า ผบ.ทบ. ทราบอยู่แล้วว่า เสธ. ส. รับสินบนจริง แต่ก็ยังเลือกที่จะส่งคนมาเจรจาให้จบเรื่อง ไม่เอาความ โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้กองทัพเสื่อมเสียชื่อเสียง
ส่งผลให้ ‘ก้อย’ ต้องไปเจรจาไกล่เกลี่ยที่กรมการสารวัตรทหารบก มีการนำเงิน 15 ล้านบาท เตรียมจะมามอบให้ ‘ก้อย’ เพื่อให้จบเรื่องทั้งหมด แลกกับการเซ็นยอมความว่าเป็นการเข้าใจผิดและไม่ดำเนินการทางกฎหมายหรือทางวินัย แต่ด้วยความที่ ‘ก้อย’ ต้องขาดทุนไปถึง 50 กว่าล้านบาท จึงดำเนินการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อ นำไปสู่การถูกตามคุกคามหลายครั้ง
จนสุดท้ายผลการสอบสวนกลับตัดสินออกมาเพียงให้ พล.ต. ว. ได้รับโทษงดบำเหน็จปี 2565 ครึ่งปีหลัง และเตรียมโยกย้ายออกจากตำแหน่งตามวงรอบ ขณะที่ เสธ. ส. ซึ่งเป็น เสธ. เงินกู้ที่ได้เงินไปหลายร้อยล้านบาท ก็ถูกลงโทษฐานผิดวินัยทหารเพียงให้กัก 7 วัน และงดโบนัสครึ่งปี
จากนั้นเปิดเผยแชตไลน์ระหว่างผู้อำนวยการกองการออมทรัพย์และผู้ประกอบการที่ยอมรับว่ามีการอมเงิน แต่ไม่มีใครทำอะไร หลังจากเกิดเหตุการณ์ นายกรัฐมนตรีก็ยิ้มร่า ไม่โศกเศร้า ผบ.ทบ. ก็แถลงร้องไห้แต่ไม่ลาออก ต่อมาได้มีนายพันโทรมาหาผู้ประกอบการเพื่อขอเคลียร์ เพราะกลัวว่ากองทัพบกจะเสื่อมเสียชื่อเสียง
“วัฒนธรรมการทุจริตในกองทัพแบบนี้ จะทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างจ่าผู้ก่อเหตุอีกกี่คนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันอาจจะไปเกิดที่ค่ายนเรศวร ค่ายเอกาทศรถ มีกราดยิงที่บิ๊กซีก็ได้ ห่างจากค่ายทหารแค่ 10 นาที ผมเป็น ส.ส. ของชาวพิษณุโลก จะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น ต้องปฏิรูปกองทัพให้ได้ และเราไม่มีวันปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ ตราบใดที่ 3 ป. ยังอยู่ เราเห็นคาตาแล้ว 8 ปีนี้ ทหารและตำรวจเลวร้ายขึ้นขนาดไหนภายใต้ 3 ป. ข้อเสนอสุดท้ายของผมในการอภิปราย 152 ก็คือ ให้ทหารชั้นผู้น้อยและประชาชนทุกคนลงคะแนนเสียงอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งนี้ เอา 3 ป. ออกไป เปิดประตูสู่การปฏิรูปกองทัพอย่างแท้จริง เอาคนผิดมาเข้ากระบวนยุติธรรมและรับโทษให้สาสมให้ได้” ปดิพัทธ์กล่าวทิ้งท้าย