ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) ประกาศต่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเมื่อวานนี้ (17 สิงหาคม) เกี่ยวกับแผนการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ โดยชี้ถึงสาเหตุจากความล้มเหลวในการรับมือกับโควิด และความจำเป็นเพื่อทำให้การทำงานมีความคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น
โดย ดร.วาเลนสกี เรียกแผนปฏิรูป CDC ครั้งนี้ว่าการ ‘Reset’ หรือ ‘เริ่มต้นใหม่’ ซึ่งมีขึ้นหลังจากที่องค์กรเผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับความล้มเหลวในการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด ฝีดาษลิง และภัยคุกคามทางสาธารณสุขอื่นๆ ซึ่งรายละเอียดการปฏิรูปองค์กรจะรวมถึงการโยกย้ายพนักงานภายใน และการเพิ่มความเร็วในการเผยแพร่ข้อมูล
ขณะที่เธอชี้ว่า การปฏิรูปองค์กรดังกล่าวเป็นข้อริเริ่มของทาง CDC และไม่ได้ถูกสั่งการจากทำเนียบขาวหรือหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ
“เป็นเวลา 75 ปีที่ CDC และสาธารณสุข ได้เตรียมพร้อมสำหรับโควิด และในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของเรา ผลการดำเนินงานของเรากลับไม่เป็นไปตามความคาดหวังอย่างน่าเชื่อถือ” ดร.วาเลนสกี กล่าวกับเจ้าหน้าที่ CDC
ขณะที่ CDC ซึ่งได้งบประมาณสนับสนุนกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 11,000 คน มีหน้าที่ในการปกป้องชาวอเมริกันจากโรคระบาดและภัยคุกคามทางสาธารณสุขต่างๆ
ซึ่งการยกเครื่ององค์กรนั้นถือเป็นเรื่องปกติของผู้อำนวยการ CDC แต่ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสเรียกร้องอย่างกว้างขวางจากประชาชนที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
โดยที่ผ่านมา CDC ถูกวิจารณ์ว่าเป็นหน่วยงานที่อุ้ยอ้ายและล่าช้า และมุ่งเน้นการทำงานไปที่การเก็บรวบรวมข้อมูลผลวิเคราะห์ แต่กลับไม่ดำเนินการอย่างรวดเร็วในการรับมือกับภัยคุกคามทางสาธารณสุขใหม่ๆ
ทั้งนี้ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบและความไม่พอใจของประชาชนอเมริกันที่มีต่อ CDC นั้นเพิ่มขึ้นมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด
โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า CDC นั้นเชื่องช้า ทั้งเรื่องการยอมรับกรณีการแพร่ระบาดของโควิดจากยุโรปเข้าสู่สหรัฐฯ และการแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย รวมถึงการแจ้งเตือนประชาชนว่าไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ในอากาศ ตลอดจนการเพิ่มการทดสอบอย่างเป็นระบบสำหรับเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ต่างๆ
แฟ้มภาพ: Kevin C. Cox / Getty Images
อ้างอิง: