คล้อยหลังเพียงสัปดาห์เศษๆ หลังจากประกาศข่าวใหญ่ว่าได้รับเงินจำนวน 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการระดมทุนรอบ Series C นำโดย SoftBank Vision Fund 2 จนขึ้นแท่นเป็น ‘ยูนิคอร์น’ รายแรกในตลาดซื้อขายยานยนต์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Carro สตาร์ทอัพผู้ให้บริการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีจุดกำเนิดในดินแดนเมอร์ไลออนเมื่อปี 2558 ก่อนข้ามน้ำข้ามทะเลมาสู่เมืองไทยในปี 2561 ในนามบริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด ก็ได้จัดแถลงเพื่อฉายภาพทิศทางธุรกิจ โดยมี ไมเคิล-อรรณพ เกษตระทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนเมษายน 2564 เป็นผู้แถลงด้วยตนเอง
อรรณพตอบคำถามว่า การระดมทุนที่เพิ่งผ่านพ้นไปซึ่งสามารถตีเป็นเงินไทยได้กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท จะส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจในประเทศไทยบ้างนั้น แม่ทัพคนใหม่ระบุว่า “เม็ดเงินหลักๆ จะถูกนำไปลงทุนธุรกิจในอินโดนีเซียและไทย” ซึ่งปัจจุบัน Carro มีธุรกิจอยู่ในอินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์
แม้ไม่บอกถึงเหตุผลที่ชัดเจนว่าเหตุใด ‘ไทย’ จึงกลายเป็น 1 ใน 2 ประเทศ ที่ Carro เทน้ำหนักในการลงทุนมากกว่าประเทศบ้านเกิดเสียด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ไทยนั้นทำผลงานได้เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย ซึ่งไม่ได้ให้รายละเอียดเชิงลึกถึงตัวเลขที่ระบุว่าแต่ละเดือนยอดขายในไทยอยู่ที่เท่าไหร่ แต่เมื่อครั้งได้รับการระดมทุนในรอบ Series C ทาง Carro ได้เปิดเผยว่า ตลาดทั้ง 4 แห่ง มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมา โดยในแต่ละเดือนมียอดขายรวมกันมากกว่า 13,000 คัน
ถึงภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 แต่ข้อมูลจาก KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ไว้ว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ตลาดรถใหม่หดตัวแล้วถึง 37% แต่ยอดขายรถมือสองที่วัดจากยอดโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ลดลงเพียง 15% เท่านั้น ชี้ให้เห็นว่าตลาดรถมือ 2 ได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าตลาดรถใหม่เป็นอย่างมาก
KKP Research ยังระบุด้วยว่า พบวัฏจักรการเปลี่ยนรถยนต์ของผู้ใช้รถในไทยอยู่ที่ประมาณ 74 เดือน หรือประมาณ 6 ปี และมีแนวโน้มสั้นลงเรื่อยๆ โดยรอบใหญ่ของการซื้อรถยนต์เกิดขึ้นระหว่างปี 2012-2013 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถขนาดต่ำกว่า 1,500 ซีซี และรถกระบะ เพื่อใช้สิทธิ์คืนภาษีสรรพสามิตตามโครงการรถคันแรกของภาครัฐในขณะนั้น ส่งผลให้รอบการเปลี่ยนรถที่เคยใช้สิทธิ์จากโครงการฯ เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2018 และตลาดรถยนต์ใหม่หรือรถป้ายแดงขยายตัวได้ถึง 20%
แม่ทัพป้ายแดงของ Carro ไทยยอมรับว่า ถึงตลาดรถมือสองในปี 2564 จะยังหดตัวอยู่ ซึ่งแม้จะเข้ามากระทบแผนธุรกิจแต่คงไม่ได้มากเท่ากับที่ประเมินไว้ครั้งแรก โดยมูลค่าการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ของ Carro ไทยเติบโตขึ้นเป็น 6 เท่า ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
รถที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ อีโคคาร์ (Eco Car) รองลงมาเป็นรถ SUV และตามด้วยรถครอบครัวขนาดใหญ่ โดยลูกค้ามักจะวางงบในการซื้อรถมือ 2 ไว้ที่ 200,000-800,000 บาท
การข้ามห้วยจากแวดวงการตลาดและการวางกลยุทธ์องค์กรในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีและสื่อสารมวลชน ซึ่งสั่งสมมามากกว่า 15 ปี เข้ามาเป็นแม่ทัพของแพลตฟอร์มรถมือ 2 ออนไลน์นั้น ‘อรรณพ’ ตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปี ชื่อของ Carro จะต้องติด Top 3 เมื่อผู้บริโภคคนไทยอยากซื้อรถมือ 2
แม่ทัพป้ายแดงระบุว่า ได้วางงบการตลาดหลัก ‘ร้อยล้านบาท’ เพื่อสร้างแบรนด์ให้คนไทยรู้ โดยยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่าภายใต้งบก้อนดังกล่าวนั้นจะถูกนำไปใช้เกมการตลาดอะไรมาก เพื่อเจาะเข้าไปในใจผู้บริโภคคนไทย
แต่เร็วๆ นี้ทาง Carro เตรียมหยิบเทคโนโลยี AI ที่จะทำให้เพียงส่งรูปเข้ามาในระบบก็จะสามารถระบุได้ทันทีว่ารถคันดังกล่าวมีตำหนิที่ตรงไหน รวมไปถึงประเมินราคาคร่าวๆ ได้ โดยเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้แล้วที่สิงคโปร์ คาดว่าภายในปีนี้จะถูกนำมาใช้ที่ไทย
ปัจจุบัน Carro ให้บริการผ่าน 4 รูปแบบ ได้แก่ CARRO Express แพลตฟอร์มซื้อหรือขายรถยนต์ผ่านเว็บไซต์, CARRO Wholesale ระบบการประมูลที่มีสมาชิกเป็นเต็นท์รถมือ 2 กว่า 3,000 แห่ง, CARRO Automall บริการฝากขายรถซึ่งปัจจุบันมี 2 สาขาและกำลังจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาภายในปีนี้
สุดท้าย CARRO Floor Auction ช่องทางสำหรับรองรับรถที่เข้ามาในจำนวนมากจากสถาบันและบริษัทพันธมิตรต่างๆ โดยจะเป็นการนำเข้าการประมูลออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่ไปด้วยกัน
นอกจากนี้ Carro ยังมีบริการสินเชื่อและประกันของตัวเอง ตลอดจนมีพันธมิตรเป็นสถาบันทางการเงินด้วย สำหรับธุรกิจสินเชื่อนั้นไม่ได้มีการเปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด ตลอดจนฐานลูกค้าในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นยูนิคอร์นแล้ว Carro ตั้งเป้าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นครั้งแรก หรือ IPO ภายใน 2 ปี โดย แอรอน ตัน ซีอีโอของ Carro ระบุว่า “การเสนอขาย IPO ของเราจะเกิดขึ้นในอีก 18-24 เดือน” พร้อมระบุว่าบริษัทมีแนวโน้มจะปิดยอดซื้อขายรถยนต์ได้กว่า 200,000 คันในปีนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น