วันนี้ (23 มิถุนายน) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
- ให้ความคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันปราบปราม และ
- เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะดังกล่าว รวมถึงการขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงและสร้างหลักประกันความเป็นธรรมแก่ประชาชน
เนื่องจากปัจจุบันยังมีการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายเกิดขึ้นอยู่ และมีการร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ โดยเฉพาะประเด็นการงดเว้นโทษ (Impunity)ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ประกอบกับยังไม่มีการกำหนดความผิด บทลงโทษ รวมถึงมาตรการป้องกันและการเยียวยากรณีการกระทำทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายไว้ในกฎหมาย
กระทรวงยุติธรรมจึงได้ตราร่างพระราชบัญญัตินี้ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และเป็นมาตรการสำคัญตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: ICPPED) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกอยู่
โดยร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นการกำหนดฐานความผิดการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มาตรการป้องกัน การเยียวยาผู้เสียหาย และการดำเนินคดีสำหรับความผิดดังกล่าวให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น
- กำหนดฐานความผิดการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยกำหนดให้ไม่เป็นความผิดทางการเมือง ซึ่งสามี ภรรยา บุพการี ผู้สืบสันดานของผู้เสียหายสามารถดำเนินการฟ้องร้องคดีได้
- กำหนดให้ความผิดตามพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ และให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจหน้าที่สอบสวนเป็นหลัก เว้นแต่กรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษตกเป็นผู้ต้องหา ให้ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจสืบสวนแทน
- กำหนดระวางโทษความผิดฐานกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เช่น ผู้ใดกระทำความผิดฐานกระทำทรมานหรือกระทำให้บุคคลสูญหาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หากกรณีผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท และกรณีผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 200,000-400,000 บาท
ทั้งนี้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติฯ นี้
รัชดากล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินี้ เมื่อวันที่ 4-31 ธันวาคม 2562 ผ่านเว็บไซต์และจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการใน 4 ภูมิภาค พร้อมทั้งเผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบจากกฎหมายต่อประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และลำดับต่อไปหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ในวันนี้ จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า