ตลาดหุ้นยุโรปกำลังเขย่าโลกการลงทุนด้วยแรงบวกแข็งแกร่งที่สุดในรอบทศวรรษ
ยังไม่จบไตรมาสแรกของปี 2025 ดัชนีหุ้นเยอรมนี, สเปน, อิตาลี และฝรั่งเศส ต่างพุ่งทะยานไปแล้วกว่า 15-25% เมื่อรวมกับการแข็งค่าของเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์อีก 3.2% ตั้งแต่ต้นปี ยิ่งทำให้การลงทุนในทวีปนี้น่าสนใจขึ้นไปอีก
เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นยุโรปและควรลงทุนอย่างไร เป็นเรื่องที่ผมอยากชวนให้นักลงทุนไทยรู้เท่าทันตลาด
เหตุผลที่ทำให้ยุโรปต้องปรับตัวครั้งใหญ่ คือการกลับมาของ Trump
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในงาน Munich Security Conference เมื่อรองประธานาธิบดี JD Vance วิจารณ์ยุโรปอย่างรุนแรงเรื่องการไม่ร่วมมือกับพรรคฝ่ายขวา สร้างความไม่แน่นอนและไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป
ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี Friedrich Merz ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญ ด้วยการเสนอแผนการคลังขนาดใหญ่ประกอบด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 5 แสนล้านยูโรใน 10 ปี การเพิ่มเพดานขาดดุลเชิงโครงสร้างต่อปีเป็น 0.35% ต่อ GDP และยกเว้นข้อจำกัดสำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหม
ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ GDP เยอรมนีจากที่ไม่เติบโต มีโอกาสจะขยายตัว 1.5-2.0% ต่อปีใน 10ปีข้างหน้า
ด้วยขนาดเศรษฐกิจเยอรมนีที่คิดเป็นกว่า 25% ของยุโรป ผลบวกจะกระจายไปทั่วทั้งทวีปและอาจเป็นแม่แบบการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุโรปอื่นๆ ในอนาคต
นอกจากนโยบายเศรษฐกิจ ตลาดการเงินก็กลับทิศมาสนับสนุนในเวลาเดียวกัน
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือการฟื้นตัวของเงินยูโร (EUR) จากที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ตอนนี้กำลังแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แรงบวกสำคัญมาจากส่วนต่างของบอนด์ยีลด์ระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ ที่แคบลงอย่างรวดเร็ว
ต้นปีที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 4.6% ขณะที่บอนด์ยีลด์เยอรมนีต่ำเพียง 2.3% ทำให้เงินลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ฝั่งสหรัฐฯ
แต่ความแตกต่างนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มผันผวนจากนโยบายลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ สวนทางกับยุโรปที่ตั้งเป้ากระตุ้นทางการคลังเพิ่ม
ล่าสุดบอด์ยีลด์เยอรมนีและสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ขยับไปที่ 2.8% และ 4.3% ทำให้ส่วนต่างของยีลด์แคบที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2023 และมีแนวโน้มแคบลงไปอีก
ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับแรงขายทำกำไรในหุ้น Tech ที่มูลค่าแพง เมื่อตลาดมีหุ้นจีนที่สร้าง AI มาแข่งขัน และตลาดหุ้นยุโรปที่มีแรงบวกจากนโยบายเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้แรงขายเกิดขึ้นเร็ว เงินดอลลาร์อ่อนค่า หนุน EUR แข็ง สนับสนุนเงินทุนให้เคลื่อนตัวมาที่ยุโรปมากขึ้นไปอีก
ตลาดหุ้นยุโรปจะไปต่อได้อีกแค่ไหน ผมมองว่าอยู่ที่ Valuation และทิศทางการเติบโตของรายได้ในอนาคต
การปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 มี NTM P/E เริ่มต้นปีที่ 14 เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ย 5 อดีต (15.5 เท่า) และหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500 21เท่า) จึงมีการปรับสมดุลที่สะท้อนมูลค่าใหม่อย่างรวดเร็ว
ในอนาคตหุ้นยุโรปจะมีโอกาสปรับสมดุลต่อเนื่องถ้านักลงทุนทยอยลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มี Valuation สูง และหันไปลงทุนนอกสหรัฐฯ หรือหุ้นในยุโรปเริ่มกลับมามีรายได้เติบโตจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
ถ้าสนใจลงทุนในยุโรป ผมแนะนำธีมลงทุนและหุ้นยุโรปที่น่าจับตา 3 ธีม
- Euro High Dividend – หุ้นปันผลสูง คาดว่าจะได้รับแรงหนุนมากที่สุด เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ เป็นขาลง พร้อมกับ EUR แข็งค่า หนุนเงินทุนไหลเข้า การลงทุนธีมนี้ประกอบด้วย หุ้นสาธารณูปโภคและการเงิน มีปันผลสูงกว่า 5% ต่อปี
- Euro Defenses – เทคโนโลยีป้องกันประเทศในทวีปยุโรปที่คาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อและลงทุนมหาศาล เช่น Rheinmetall (RHM GR) บริษัทเยอรมนี ผู้ผลิตยานพาหนะทางทหาร Thales Group (HO FP) บริษัทฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญในระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการป้องกันการบินอวกาศ Leonardo (LDO IM) บริษัทอิตาลี ดำเนินธุรกิจในด้านการป้องกันประเทศและผลิตเฮลิคอปเตอร์ทางทหาร
หรือ SHLD (Global X Defense Tech) ETF ที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทในธุรกิจป้องกันประเทศ มีสัดส่วนการลงทุนในยุโรปกว่า 40%
- GRANOLAS – Goldman Sachs รวมหุ้นใหญ่พื้นฐานดีในยุโรป เช่น GlaxoSmithKline (GSK LN) บริษัทเวชภัณฑ์และชีวเวชภัณฑ์ชั้นนำของโลก Roche (ROG SW) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากสวิตเซอร์แลนด์ ASML (ASML01) ผู้นำด้านการผลิตเครื่องจักรสำหรับการผลิต Semiconductor Novo Nordisk (NOVOB80) ผู้ผลิตยารักษาโรคเบาหวานจากเดนมาร์ก L’Oreal (LOREAL80) บริษัทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชั้นนำจากฝรั่งเศส LVMH (LVMH01) กลุ่มธุรกิจสินค้าแบรนด์หรู AstraZeneca (AZN LN) บริษัทเวชภัณฑ์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ และ Sanofi (SANOFI80) บริษัทยาและวัคซีนจากฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญด้านโรคเรื้อรังและภูมิคุ้มกัน
สำหรับปี 2025 แม้ความเสี่ยงสงครามรัสเซียยูเครน สงครามการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงอยู่ แต่ถ้าการปฏิรูปเกิดขึ้นจริง หุ้นยุโรปจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แน่นอนครับ
ภาพ: Javier Ghersi / Getty Images