วันนี้ (21 มิถุนายน) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ในวาระแรก วันสุดท้าย เหลือเวลาในการอภิปรายประมาณ 15 ชั่วโมง โดยจะเน้นไปที่ 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สำนักนายกรัฐมนตรี, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงมหาดไทย คาดว่าการพิจารณาจะแล้วเสร็จในเวลา 22.00 น.
ฝ่ายค้านแถลงคว่ำร่างงบปี 2568
ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน นำโดย ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน และตัวแทนจากพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเป็นธรรม พรรคไทยก้าวหน้า และพรรคใหม่ แถลงถึงแนวทางการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
โดยปกรณ์วุฒิระบุว่า ทุกพรรคเห็นตรงกันว่าการจัดสรรงบประมาณปี 2568 ไม่ตอบสนองการจัดสรรในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของพรรคหลักที่พยายามเบียดบังงบประมาณเรือธงอื่นๆ โดยไม่สนใจว่าจะเบียดบังงบประมาณส่วนอื่น พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมีมติไม่รับร่างงบประมาณปี 2568
ด้าน ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า มี 3 เหตุผลที่ไม่รับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คือ
- เรากำลังจัดงบประมาณประเทศที่เสี่ยงกับการคลัง และประเทศจะไม่สามารถต่อสู้กับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งปีนี้เราขาดดุลงบประมาณสูงสุด และอาจสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ไม่สามารถรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในอนาคตได้ เพียงเพื่อจะทำให้โครงการเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตโครงการเดียวเดินหน้าได้
- มีความพยายามทำโครงการนี้มากจนละเลยโครงการอื่น เช่น IGNITE THAILAND, ซอฟต์พาวเวอร์ และการช่วยเหลือ SMEs ทำให้งบไม่เพียงพอ
- โลกมีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้น ประเทศเราจำเป็นต้องเตรียมตัวตั้งรับ เช่น ปัญหาโลกเดือดและการค้าโลก
ขณะที่ ร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส. พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า เราเห็นเหมือนกันว่างบประมาณปีนี้พยายามกู้เงินทำนโยบายเรือธง และไม่ใช้งบประมาณปี 2568 เพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้งบประมาณปี 2567 และกู้เงินจาก ธ.ก.ส. จำนวนรวมกัน 5 แสนล้านบาท ที่ถือเป็นค่าเสียโอกาส สามารถนำไปทำนโยบายอื่นได้ และรัฐบาลไม่รับฟังคำท้วงติงจากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้มองได้ว่ารัฐบาลเมินปัญหาของประเทศ เช่น ปัญหาปากท้อง ปัญหาด้านการศึกษา ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จัดสรรงบประมาณเพียงน้อยนิด ทั้งนี้ ยืนยันว่าเราจะลงมติคัดค้านร่าง พ.ร.บ. นี้ เพื่อหยุดหนี้ก้อนโตที่ประชาชนจะตายผ่อนส่ง
เมื่อถามว่า หากมีการโหวตสวนมติพรรคฝ่ายค้านขึ้นมาจะมีมาตรการอย่างไร ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า แต่ละพรรคจะต้องควบคุมเสียง สส. ในพรรคของตนเอง แต่ขณะนี้ทุกพรรคมีมติตรงกันคือไม่รับหลักการ แต่ละพรรคจะมีมาตรการลงโทษ สส. ที่โหวตสวน ซึ่งวิปฝ่ายค้านต้องพิจารณาเรื่องต่างๆ ในอนาคตหากมีการโหวตสวนและไม่สามารถควบคุมเสียงในพรรคได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าในส่วนของพรรคก้าวไกลจะไม่มีคนโหวตสวนมติอย่างแน่นอน
ปกรณ์วุฒิยังกล่าวถึงบรรยากาศการอภิปรายร่างงบประมาณปี 2568 ใน 2 วันที่ผ่านมาว่า การอภิปรายครั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ราบรื่น เน้นเนื้อหาจริงๆ ไม่มีการประท้วง เป็นที่น่าพอใจ
ส่วนการหยุดการก่อหนี้ก้อนโตจากนโยบายเรือธงจะส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยหรือไม่ ศิริกัญญากล่าวว่า ก็เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย หากต้องการยับยั้งจะต้องรอกฎหมายผ่านวาระที่ 3 ไปก่อน และต้องแก้ไขหลังจากนั้น หากยังดื้อดึงที่จะทำต่อ เราต้องรอให้เกิดการกระทำก่อนถึงจะไปร้องต่อศาล เพราะตอนนี้การกระทำยังไม่เกิด
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลอ้างว่าเพิ่งเข้ามาทำงาน จึงยังไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงงบประมาณได้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงออมมือในการตรวจสอบ แต่ครั้งนี้รัฐบาลเข้ามาได้เกือบหนึ่งปี จึงไม่มีเหตุผลอ้างใดๆ ยืนยันว่าเราจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้งบประมาณ 2568 คุ้มค่าทุกบาท และบรรลุเป้าหมายอย่างมากที่สุด
“ชื่นชม สส. เพื่อไทย เตรียมการมาเป็นอย่างดี มีข้อมูลที่ค่อนข้างหนักแน่น แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลที่หนักแน่นนั้นไม่สามารถเป็นเหตุเป็นผลกับการจัดงบประมาณที่เกิดขึ้นได้ เหมือนบอกเหตุผลอีกอย่างแต่งบประมาณจัดทำอีกอย่าง แต่เข้าใจว่า สส. เพิ่งมาเห็นงบประมาณในภายหลัง จึงอยากเสนอแนะว่า ในโอกาสหน้าขอให้เข้าร่วมกระบวนการจัดทำงบประมาณเพื่อให้ขับเคลื่อนนโยบายตามที่ตนเองได้เสนอต่อที่ประชุมสภา เพื่อให้เกิดขึ้นได้จริงในปีงบประมาณถัดๆ ไป” ศิริกัญญากล่าว
วิปรัฐบาลชมฝ่ายค้าน อภิปรายงบปี 2568 สร้างสรรค์
ด้าน วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ระบุว่า เป็นเรื่องปกติของการลงมติในวาระแรกที่ฝ่ายรัฐบาลจะรับหลักการและฝ่ายค้านจะไม่รับหลักการ ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้ ในอดีตอาจมีบ้างที่งดออกเสียง ถือว่าไม่มีอะไรน่ากังวล เมื่อตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 72 คนแล้ว กรรมาธิการก็มีหน้าที่ตรวจสอบอีกหลายเดือน และยังมีการแปรญัตติที่ฝ่ายค้านสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาลได้
“อย่างที่ท่านสุทินแซวท่านวิโรจน์ว่าทำไมไม่ชมผมบ้าง ผมว่าเป็นความสวยงาม แล้ววันนี้ก็หวังว่าบรรยากาศในการประชุมงบประมาณ วาระแรก ในวันสุดท้าย น่าจะเลิกก่อนเที่ยงคืน หวังว่าทั้งวันจะมีบรรยากาศเหมือนเมื่อวาน ผมได้รับคำชมจากประชาชนที่ติดตาม ก็พอใจการทำหน้าที่ของทางฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ รัฐบาลก็ตอบได้ดี” วิสุทธิ์กล่าว
นายกฯ เชื่อ กระแสฝ่ายค้านคว่ำงบปี 2568 เป็นเรื่องการเมือง
ขณะที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณปี 2568 หลังฝ่ายค้านเตรียมขู่คว่ำร่างว่า ตนมองว่าเป็นเรื่องของการเมือง เวทีสภาถือเป็นเวทีที่ให้ทุกฝ่ายมานำเสนอ มีข้อท้วงติง แต่ตนอยากให้คิดถึงประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ เชื่อว่าเรามี 314 เสียงเหนียวแน่น คงไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนกระแสข่าวที่จะมีการปรับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล จะกระทบกับการลงมติในครั้งนี้หรือไม่ เศรษฐาระบุว่า ตนไม่เคยคุยว่าจะปรับอะไรเลย ไม่เคยพูดอะไรเลย กระแสข่าวที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากตน แต่ถ้าอยู่ 4 ปีแล้วไม่ปรับ ครม. เลยก็คงเป็นไปไม่ได้ อย่าไปคาดเดา มันมีเรื่องสำคัญอีกเยอะแยะ และกระแสข่าวไม่ได้มาจากตน ซึ่งคนที่จรดปากกาคือตน ขอให้ดูปัญหาของบ้านเมืองเป็นหลัก พร้อมขอเล่นการเมืองให้น้อยลง
ตั้ง กมธ. 72 คน ศึกษางบประมาณปี 2568
ทั้งนี้ เมื่อที่ประชุมลงมติรับหลักการในวาระแรก จะเข้าสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา จำนวน 72 คน โดยแบ่งสัดส่วนออกเป็นคณะรัฐมนตรี 18 คน สส. 54 คน แยกเป็นสัดส่วนพรรคการเมือง พรรครัฐบาล 34 คน ฝ่ายค้าน 20 คน ตามสัดส่วนของ สส. ในสภา