เบทาโกร ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 500 ล้านหุ้น เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หวังนำเงินระดมทุนซื้อหรือสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ รวมถึงชำระคืนเงินกู้
บมจ.เบทาโกร หรือ BTG ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น (พาร์) 5.0 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.เกียรตินาคินภัทร และ บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เคาะแล้ว! ‘เบทาโกร’ กำหนดราคาขายหุ้น IPO ที่ 40 บาท/หุ้น เตรียมโรดโชว์ 5 ต.ค. นี้ เพื่อกำหนดวันเปิดจองสำหรับรายย่อย
- ‘2 IPO ใหญ่’ ประกาศความพร้อมเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 3 ‘เบทาโกร’ โชว์กำไรไตรมาสแรกปีนี้พุ่ง 149%
- ‘เบทาโกร’ ดีเดย์เข้าเทรดใน SET 2 พ.ย. นี้ ขึ้นแท่นรองแชมป์ระดมทุนสูงสุดปีนี้
BTG เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย โดยครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์สุกร สัตว์ปีก และไข่ไก่ อาหารแปรรูปที่เกี่ยวข้อง และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ฟาร์ม และการดำเนินงานด้านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง
บริษัทมีรูปแบบการทำธุรกิจแบบครบวงจร (Vertically Integrated Business Model) ที่ครอบคลุมในหลายด้านของห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ของบริษัท (Value Chain) ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเพาะเลี้ยง และจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์สัตว์ การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การชำแหละและการแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงการขาย โรงงานผลิตและแปรรูปอาหารที่มีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพของบริษัท
บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่วางขายภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม เช่น แบรนด์ BETAGRO และ S-Pure สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์อนามัย เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารแปรรูป, แบรนด์ ITOHAM สำหรับผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเกรดพรีเมียม แบรนด์ betagro Balance และ MASTER สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ แบรนด์ Better Pharma และ Nexgen สำหรับผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ และแบรนด์ Perfecta DOG n joy และ CAT n joy สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำเงินจากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อและ/หรือ ก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงโรงงาน ฟาร์ม รวมถึงสถานที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัท ซึ่งรวมถึง
- การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม โรงชำแหละสัตว์ โรงงานแปรรูปอาหารและเนื้อสัตว์ รวมถึงการผลิตไข่ไก่และโปรตีนทางเลือกในประเทศไทย
- การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม และโรงชำแหละสัตว์ในประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา
- การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง
- การลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Facilities) ตลอดจนการลงทุนเพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงการจัดการและดำเนินธุรกิจ และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการจัดการและดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการลงทุนในกิจการร่วมค้า
นอกจากนี้นำไปชำระหนี้สินระยะสั้น และ/หรือ ระยะยาวให้กับสถาบันการเงินต่างๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทและบริษัทย่อยใช้วงเงินกู้ยืมกับธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 99.9% ของ บล.บัวหลวง หนึ่งในที่ปรึกษาทางการเงิน และหนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จำนวน 12,881.0 ล้านบาท และ 70.5 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นวงเงินกู้ยืมระยะสั้น และวงเงินเบิกเกินบัญชี วงเงินเพื่อออกหนังสือค้ำประกัน และวงเงินซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และมียอดเงินกู้คงค้างจำนวน 436.2 ล้านบาท และ 1.6 ล้านดอลลาร์
ณ สิ้นปี 2564 กลุ่มธุรกิจในประเทศไทย บริษัทเป็นผู้ดำเนินงานโรงงานอาหารสัตว์ 9 แห่ง ฟาร์ม 4,829 แห่ง (ประกอบไปด้วย ฟาร์ม 61 แห่งซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของ หรือเช่ามา และอีก 4,768 แห่งเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา) โรงชำแหละสัตว์ 13 แห่ง และโรงงานแปรรูป 12 แห่งสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง 1 แห่ง และโรงงานผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ 1 แห่ง
สำหรับกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ บริษัทเป็นผู้ดำเนินงานโรงงานอาหารสัตว์ 1 แห่ง และฟาร์ม 331 แห่ง (ประกอบไปด้วยฟาร์ม 8 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มที่เช่ามา และอีก 323 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา) ในประเทศกัมพูชา และบริษัทเป็นผู้ดำเนินงานฟาร์ม 131 แห่ง (ประกอบไปด้วยฟาร์ม 3 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มที่เช่ามา และอีก 128 แห่งซึ่งเป็นฟาร์มเกษตรพันธสัญญา) และโรงชำแหละสัตว์ 1 แห่ง ใน สปป.ลาว
นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา ศูนย์นวัตกรรมการเกษตร ศูนย์นวัตกรรมอาหาร และศูนย์นวัตกรรมสัตว์เลี้ยงเพื่อปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operating Efficiency) ของบริษัท
ปัจจุบัน BTG มีทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 7,500 ล้านบาท โครงสร้างผู้ถือหุ้น ประกอบด้วย
- บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 700 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 46.7% หลัง IPO เหลือ 35% (ภายใต้สมมติฐานว่าจะมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน)
- TAE HK Investment 400 ล้านหุ้น หรือ 26.7% หลัง IPO เหลือ 20%
- กลุ่มเจนจิรา แต้ไพสิฐพงษ์ ถือหุ้น 2.5% หลัง IPO เหลือ 1.9%
- กลุ่มกรพจน์ อัศวินวิจิตร ถือหุ้น 1.8% หลัง IPO เหลือ 1.4%
- กรรมการ และ/หรือผู้บริหาร ถือหุ้น 6.5% หลัง IPO เหลือ 4.8%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทกำหนดไว้ในแต่ละปี โดยพิจารณาประกอบกับงบการเงินรวม
ผลประกอบการในช่วงปี 2562-2564 บริษัทมีรายได้รวมจากการขายสินค้าและการให้บริการ 74,231.6 ล้านบาท 80,102.1 ล้านบาท และ 85,424 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการคิดเป็นสัดส่วน 99% ของรายได้รวม ส่วนกำไรสุทธิเท่ากับ 1,267.5 ล้านบาท , 2,341 ล้านบาท และ 839 ล้านบาท ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิ 1.69%, 2.90% และ 0.97% ตามลำดับ
ณ สิ้นปี 2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 57,475.1 ล้านบาท หนี้สินรวม 41,952.9 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 5,522.2 ล้านบาท