×

โบรกประเมิน ‘วัคซีนดีเลย์’ กระทบหุ้นไทยช่วงสั้น ยังลุ้นรัฐเร่งจัดสรร หนุนธีมหุ้นเปิดประเทศ

14.06.2021
  • LOADING...
วัคซีนดีเลย์

หุ้นไทยบวกขึ้นมาราว 50 จุด ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ (31 พฤษภาคม-14 มิถุนายน) หรือเพิ่มขึ้นจากระดับ 1,580 จุด มาปิดตลาดในวานนี้ (14 มิถุนายน) ที่ 1,633 จุด โดยปัจจัยหลักที่หนุนดัชนีในช่วงเวลาดังกล่าว คือเรื่องการกระจายวัคซีนภายในประเทศ ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดหวังถึงการเปิดประเทศอีกครั้ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว และกำลังซื้อเพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ตามช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แผนการกระจายวัคซีนกลับหยุดชะงัก โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งที่รับช่วงต่อในการให้บริการฉีดวัคซีนได้แจ้งประชาชนเรื่องการขอเลื่อนฉีดวัคซีนออกไป โดยให้เหตุผลว่าวัคซีนที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า 

 

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนการฉีดวัคซีนที่ต้องเลื่อนออกไปส่งผลกระทบต่อ Sentiment ในระยะสั้นเท่านั้น ภาพรวมยังถือว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยประเมินว่า การที่ต้องเลื่อนแผนการฉีดออกไปก็เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดสรรวัคซีนกันใหม่ให้เกิดความลงตัวอีกครั้ง ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน จากนั้นก็จะเดินหน้าปูพรมฉีดวัคซีนในพื้นที่ต่างๆ ได้ตามแผน 

 

นอกจากปัจจัยในประเทศเรื่องการเลื่อนฉีดวัคซีนแล้ว ปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องการประชุม FOMC ในกลางสัปดาห์นี้น่าจะมีผลต่อหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกมากกว่า โดยประเมินว่า การประชุมรอบนี้ผลประชุมน่าจะเป็นไปตามคาดคือ Fed คงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ ซึ่งหากเป็นดังนี้หุ้นไทยก็จะคลายความกังวล

 

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยอาจจะมีการย่อตัวอีกครั้ง เนื่องจากระดับปัจจุบันถือว่าค่อนข้างสูงและเข้าโซนดัชนีเป้าหมายของหลายๆ โบรกเกอร์แล้ว จึงน่าจะมีแรงขายเพื่อทำกำไรเป็นระยะ 

 

ทั้งนี้แนะนำลงทุนที่เน้นลงทุนระยะยาวให้ถือหุ้นต่อเนื่อง เพราะในครึ่งปีหลังน่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยในประเทศ ส่วนนักลงทุนระยะสั้น-กลางที่ต้นทุนต่ำกว่า 1,600 จุด แนะนำให้ขายทำกำไรแล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้งเมื่อดัชนีย่อตัว

 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวย​การ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า เชื่อว่าการเลื่อนฉีดวัคซีนไม่กระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยมากนัก อาจจะมีกระทบในระยะสั้นๆ เชิงโมเมนตัมเท่านั้น ทั้งนี้เชื่อว่าที่สุดแล้ววัคซีนไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรก็ตามจะมาถึงประเทศไทยและกระจายให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง

 

“เท่าที่ติดตามข้อมูลก็มีบางประเทศที่วัคซีนไม่เพียงพอกับแผนการเร่งฉีดในบางช่วง เช่น ฟิลิปปินส์ แต่รัฐบาลประเทศนั้นๆ ก็สามารถบริหารจัดการนำเข้าวัคซีนมาได้ และฉีดให้กับประชาชนได้ตามแผน”

 

และหากอิงจากต่างประเทศแล้วจะพบว่าสัปดาห์ที่ 1 และ 2 มักเป็นสัปดาห์ที่ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้จำนวนมาก และวัคซีนจะขาดช่วงในสัปดาห์ที่ 3 และสัปดาห์ที่ 4 ก็จะกลับสู่สมดุลและฉีดได้ตามแผน

 

สำหรับประเทศไทยเดือนมิถุนายนเป็นเดือนแรกที่เริ่มปูพรมฉีดวัคซีน กำลังสร้าง Learning Curve เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลได้ในเร็วๆ นี้ 

 

ในส่วนของผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้น เชื่อว่าจะกระทบระยะสั้น และกระทบในเชิง Sentiment มากกว่าเชิงปัจจัยพื้นฐาน โดยราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้นรอบนี้ก็เพราะอานิสงส์จากเรื่องวัคซีนเป็นหลัก ฉะนั้นหากแผนกระจายวัคซีนชะงักหรือเกิดความล่าช้า หุ้นที่ขึ้นมาด้วยเรื่องวัคซีนก็จะปรับลดลงในระยะสั้นๆ ในทางกลับกันเมื่อแผนกระจายวัคซีนมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะวิ่งรับความคาดหวังเชิงบวกเช่นกัน 

 

ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนระยะสั้นให้ติดตามแผนกระจายวัคซีนและหาจังหวะลงทุนในระยะสั้นๆ ส่วนนักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากธีม Reopening เพราะท้ายที่สุดแล้วภายในสิ้นปีนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยจะได้รับวัคซีนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาใกล้เคียงปกติ


ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส หรือ ASP ระบุว่า การกระจายวัคซีนมีแนวโน้มเผชิญความท้าทายมากขึ้น โดยข้อมูล ณ ปัจจุบัน ผู้รับวัคซีนใหม่มีจำนวน 1.08 แสนโดสต่อวัน ชะลอตัวลงจากช่วงท้ายสัปดาห์ก่อนที่ฉีดได้วันละ 2-4 แสนโดสต่อวัน รวมไปถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับการเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไป โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.

 

สถานการณ์ดังกล่าว อาจะเป็นการเพิ่มความท้าทายให้เป้าหมายของการฉีดวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสภายในปี 2564 ได้ รวมถึงอาจทำให้การประเมินจํานวนประชากรที่รับวัคซีนของ ASP มีดาวน์ไซด์เพิ่มขึ้นได้ เพราะการประเมินอยู่ภายใต้สมมติฐานว่าไทยสามารถฉีดวัคซีนได้วันละไม่ต่ำกว่า 3.5 แสนโดสอย่างต่อเนื่องทุกวัน 

 

โดยรวม ASP ประเมินว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มดีขึ้นจะมีน้ำหนักมากกว่าความล่าช้าของการฉีดวัคซีน เพราะเชื่อว่าการกระจายวัคซีนล่าช้าเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว จึงเชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยโดยรวมจะขยับตัวขึ้นได้ต่อ โดยยังชื่นชอบหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และธีมเปิดเมือง เช่น กลุ่มขนส่งอย่าง BEM, กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL และ HMPRO, กลุ่มธนาคารพาณิชย์อย่าง KBANK 


พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising