×

รู้จักกับ 4 สาว BNK48 ให้มากขึ้น กับเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในบทเพลง Green Flash

08.03.2025
  • LOADING...
Green Flash

ในทุกความเศร้ายังมีแสงแห่งความหวังที่ปลายทางเสมอ…

 

ไม่นานมานี้ 4 สาวสมาชิกวง BNK48 อย่าง ป๊อปเป้อ-พิณญาดา จึงกาญจนา, อาหลี-ชนากานต์ โอสถานุภาพ, เอ็มมี่-อรณิชชา พรหมสุภา และ เกลญ่า-นภภัค โชคคุณานันทกุล มาส่งต่อซิงเกิลใหม่อย่าง Green Flash ให้กับ THE STANDARD POP ซึ่งไม่ใช่แค่บทเพลงให้กำลังใจธรรมดา แต่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนประสบการณ์ ความเจ็บปวด และการก้าวข้ามอุปสรรคของแต่ละคน

 

ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้พวกเธอได้แบ่งปันเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในบทเพลง ถ่ายทอดมุมมองต่อ Green Flash และสะท้อนถึงช่วงเวลาที่พวกเธอเคยเผชิญกับความยากลำบาก ความคาดหวัง และความกลัว มาดูกันว่าแต่ละคนมองเพลงนี้อย่างไร และความหมายที่ลึกซึ้งของ Green Flash ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเธอได้อย่างไร 💚

 

 

ในมุมมองของเมมเบอร์แต่ละคน เพลงนี้บอกอะไรกับเรา?

 

Arlee: “เพลงนี้ถ้าไม่ได้ตั้งใจฟังหรือฟังผ่านๆ อาจจะรู้สึกงงๆ เพราะจังหวะของเพลงที่ค่อนข้างเร็ว และมีบางท่อนโดยเฉพาะท่อนแรปที่อาจทำให้ฟังไม่เข้าใจในครั้งแรก แต่ถ้าเราตั้งใจฟังและได้ซึมซับความหมายที่ลึกซึ้งของมัน เชื่อว่าคนฟังจะได้รับพลังบวกจากเพลงนี้จริงๆ เพราะมันเป็นเพลงที่ให้กำลังใจในทุกประโยค”

 

Popper: ตอนแรกที่พวกเราได้ฟังเพลงนี้ เราก็ตีความไม่ออกเหมือนกัน แต่พอฟังไปเรื่อยๆ กลับรู้สึกเหมือนได้ยินบทสนทนาระหว่างคนสองคน คนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับความเสียใจ และอีกคนที่คอยปลอบโยน ปกติแล้ว เพลงของวงเราส่วนใหญ่จะให้กำลังใจอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเพลงนี้ เพียงแต่มันมีมิติที่แตกต่างจากเพลงอื่นมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นเพลงที่เท่ดีเหมือนกัน

 

Emmy: ส่วนตัวหนูเป็นคนชอบเพลงแนวอกหัก เพลงช้าอยู่แล้ว แต่กับเพลงนี้ พอฟังแล้วกลับทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงเข้าไปอยู่ในมิวสิกวิดีโอแบบไม่รู้ตัวเลย มันช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของตัวละครใน MV อย่างลึกซึ้ง เหมือนเรากำลังแสดงหนังสักเรื่องที่ทำให้เราอินกับอารมณ์ของเพลงจริงๆ

 

Galeya: ตอนแรกหนูก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน อาจเป็นเพราะยังไม่ได้จดจ่อกับเพลงจริงๆ แต่พอได้ฟังอย่างตั้งใจ และมีโอกาสได้ร้องเพลงนี้เองจริงๆ หนูกลับรู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเหมือนอ้อมกอดที่ช่วยปลอบโยนคนเศร้าได้ดีมาก หนูเองตอนฟังยังรู้สึกน้ำตาคลอเหมือนกัน

 

 

คีย์เวิร์ดของแต่ละคน และความหมายของ ‘ความเจ็บปวด’

 

Popper: ‘ความเจ็บปวดที่ต้องยอมรับ’ คำนี้หนูสงสัยเหมือนกันในตอนแรกว่า ทำไมพี่ผู้กำกับถึงเลือกคีย์เวิร์ดนี้ให้เรา ในตอนแรกหนูตีความว่า เป็นความเจ็บปวดของคนที่ต้องการที่จะถูกยอมรับ แต่พอนานไป หนูเข้าใจว่ามันคือการยอมรับความกดดันที่มาพร้อมกับโอกาส เราต้องรับให้ได้ทั้งด้านดีและด้านที่ท้าทาย

 

Emmy: ‘ความเจ็บปวดที่ต้องฝ่าฟัน’ สำหรับหนูคำว่า ‘ฝ่าฟัน’ มันตรงใจหนูกับช่วงเวลาที่ได้ไปร้องเพลงที่ญี่ปุ่น มันเป็นช่วงที่หนูต้องฝ่าฟันกับหลายสิ่งอย่างที่ต้องเผชิญในตอนนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฟันคำพูดจากคนภายนอก, ฝ่าฟันความยากลำบากในการฝึกฝนทักษะของตัวเอง ไหนจะกำแพงภาษาอีก มันเป็นสิ่งที่ถาโถมเข้ามาและเป็นสิ่งที่หนูต้องฝ่าฟันไปให้ได้

 

Arlee: ‘ความเจ็บปวดที่ต้องข้ามผ่าน’ คำนี้มาจากช่วงที่หนูเดบิวต์เป็น BNK48 รุ่น 5 ซึ่งเป็นช่วงที่หนูร้องไห้เยอะที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต หนูรู้สึกว่าทำเท่าไหร่ก็ยังไม่ดีพอ เพราะได้รับฟีดแบ็กว่า ยังไม่ดีพอ อยู่ตลอด ยิ่งพอเห็นเพื่อนที่ทำได้ดีมากๆ ก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น จนทำให้รู้ตัวว่า เราต้องข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ เพราะในตอนนั้นโจทย์ของรุ่น 5 คือ ต้องทำให้ได้เท่ากัน ถึงจะสามารถเดบิวต์พร้อมกันได้ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับที่สามารถเต้นด้วยกันได้ เลยคิดว่านี่คือสิ่งที่ทำให้หนูและเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้

 

Galeya: ‘ความเจ็บปวดที่ต้องเดียวดาย’ ตอนนี้หนูอยู่ ม.4 แล้ว และในสตอรี่ของหนู มันเกี่ยวข้องกับการย้ายโรงเรียน ซึ่งทำให้ต้องไปเจอสังคมใหม่ๆ ด้วยตัวคนเดียว หนูรู้สึกว่ายังไม่สามารถเข้ากับเพื่อนๆ ได้สนิทใจ อาจจะยังไม่ค่อยคลิกกัน มันเลยรู้สึกเหมือนเราต้องอยู่ตัวคนเดียวที่โรงเรียน บางครั้งก็แอบเหงาอยู่บ้าง แต่พอได้มาอยู่ในวง ได้เจอพี่ๆ ใน BNK48 มันช่วยฮีลใจหนูได้มาก เพราะเวลามีปัญหา หรือรู้สึกไม่สบายใจ หนูก็สามารถพูดคุยกับพวกพี่ๆ ได้ ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว และความสัมพันธ์ในวงก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

การให้กำลังใจตัวเองในวันที่รู้สึกแย่

 

Galeya: หนูเป็นคนที่เวลาเจอเรื่องเครียดๆ มักจะเก็บไว้กับตัวเองก่อน ไม่ค่อยกล้าบอกให้ใครฟัง เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกไป คนอื่นอาจจะรู้สึกไม่ดีไปด้วย แต่ช่วงหลังๆ หนูเริ่มเปิดใจกับพี่ๆ เพื่อนๆ ในวงมากขึ้น ได้แบ่งปันทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ พอได้พูดออกไป มันช่วยฮีลใจหนูได้เยอะเลย อีกอย่างหนึ่งคือ พี่ๆ ในวงมีวิธีทำให้เรื่องเครียดๆ กลายเป็นเรื่องตลกได้เฉยเลย มันช่วยให้เรื่องที่น่าปวดหัวกลายเป็นเรื่องที่รับมือได้ง่ายขึ้นจริงๆ

 

Popper: สำหรับหนู การหาเวลาพักเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะก่อนหน้านี้เคยมีช่วงที่อะไรหลายๆ อย่างถาโถมเข้ามาเยอะมาก จนหนูก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านมันมาได้ยังไง

 

แต่สุดท้ายแล้ว หนูคิดว่า การได้หยุดพัก หยุดคิดมากในบางเรื่อง มันช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลายากๆ ไปได้ ถ้าเราเจอปัญหาที่หนักเกินไป บางทีการปล่อยผ่าน ให้เวลาเป็นตัวช่วยเยียวยา อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

 

Emmy: ของหนูเหมือนกับพี่ป๊อปเลยค่ะ หนูเชื่อว่า ‘ทุกปัญหามันต้องผ่านไป’ เรื่องที่ดูใหญ่โตในวันนี้ สักวันหนึ่งมันอาจกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ในชีวิตเรา หนูรู้สึกว่า ‘เวลา’ มันก็ทำให้ทุกอย่างมันดูผ่อนเบาลง อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยหนูได้เยอะ คือการได้พูดระบายออกไปให้คนที่หนูไว้ใจ อย่างครอบครัวหรือเพื่อนฟัง การที่รู้ว่า มีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ เรา คอยรับฟัง มันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาก และไม่รู้สึกว่าต้องเผชิญทุกอย่างเพียงลำพัง

 

Arlee: จริงๆ ก็คล้ายๆ กันค่ะ หนูเป็นคนที่มูฟออนไวมาก ไม่ค่อยเก็บเรื่องที่ทำให้เสียใจไว้นาน ต่อให้เป็นเรื่องที่ผิดหวัง หนูก็จะคิดว่า มันยังมีวันพรุ่งนี้เสมอ เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ตลอดเวลา หนูเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สักวันเราก็จะก้าวข้ามมันไปได้เอง อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้หนูรู้สึกดีขึ้นมากก็คือ เพื่อน อย่างที่หนูเคยบอกว่า ถ้าไม่มีเพื่อนรุ่น 5 หนูคงใช้ชีวิตในวงแบบไม่มีความสุขเลย ทุกวันนี้ถ้ามีเรื่องเศร้าแค่นิดหน่อย เพื่อนก็จะดูออก แล้วเราก็มานั่งคุยกัน ระบายกัน พอคุยจบก็หายเศร้าแล้วไปนั่งขำกันต่อ

 

 

ความกลัวในฐานะไอดอล และการก้าวผ่าน..

 

Arlee: หนูกลัวการคาดหวังของตัวเอง แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าอย่าคาดหวังในสิ่งที่เกินตัว แต่พอเริ่มมีแฟนคลับ มันก็ทำให้เผลอคาดหวังไปโดยไม่รู้ตัว หนูกลัวว่าวันหนึ่งถ้าคาดหวังสูงเกินไป แล้วไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ตั้งใจ มันคงเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวด ทุกวันนี้เลยต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่า อย่าพยายามคาดหวังมากเกินไป แต่ให้โฟกัสกับสิ่งที่ทำให้ดีที่สุด

 

Popper: หนูกลัวความคาดหวังจากคนอื่นค่ะ พอเราเป็นไอดอลมาได้สักระยะนึง แน่นอนว่าทุกๆ อย่างมันก็จะเพิ่มขึ้นทั้งทักษะการร้อน-เต้น, ความนิยม จำนวนแฟนคลับ เหมือนพอแฟนๆ ยิ่งอยู่กับเรานานมากขึ้น เขาก็จะอาจจะคาดหวังให้เราเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ แต่หนูก็บอกพวกเขาเสมอว่า ขอบคุณที่ชอบและรักเรา ในแบบที่เราเป็นเรา เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถเป็นอะไรไปได้ดีมากกว่านี้ นอกจากเป็นตัวของตัวเอง หนูรู้สึกขอบคุณแฟนๆ มากๆ ที่ยังรักและซัพพอร์ตหนูในแบบที่หนูเป็น

 

Emmy: อย่างแรกที่หนูกลัว อาจจะฟังดูตลกๆ นะคะ หนูกลัวยืนงงบนเวที อยู่ดีๆ หลุดตำแหน่ง เต้นลืมบล็อกกิ้ง แล้วเพื่อนเต้นกันอยู่ทางขวา แต่เราไปอยู่ทางซ้ายคนเดียว มันเขินมากเลยค่ะ (หัวเราะ) นี่คือ ฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย!

 

แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงจัง สิ่งที่หนูกลัวที่สุดคือ กลัวว่าคนจะไม่รัก บางครั้งเราจำได้ว่ามีคนที่เคยรักเรามาก แวะเวียนมาหาบ่อยๆ แต่ถ้าวันหนึ่งเขาหายไป หนูก็คงตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราทำอะไรผิดหรือเปล่า? แม้ว่าตอนนี้มันยังไม่เกิดขึ้น แต่หนูก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน

 

Galeya: หนูกลัวความผิดหวัง เดิมทีตัวเองเป็นคนไม่ได้เป็นคนคาดหวังอะไรที่สูงๆ อยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าหนูลงมือทำหรือคาดหวังกับอะไรสักอย่าง ถ้าวันนึงหนูผิดหวังขึ้นมา หนูกลัวความรู้สึกดาวน์ หรือความรู้สึกไม่ดีจากสิ่งเหล่านั้นมันถาโถมใส่เรา

 

 

กำลังใจถึงคนที่กำลังเผชิญช่วงเวลายากลำบาก

 

Emmy: หนูคิดว่าชีวิตของเรามันไม่ได้ติดอยู่กับอุปสรรคตลอดไปค่ะ เหมือนกับการขับรถเข้าอุโมงค์ที่ยาวมากๆ สักวันหนึ่งเราก็ต้องขับออกมา และเมื่อออกมาจากอุโมงค์ เราก็จะได้เห็น Green Flash ของตัวเอง

 

หนูเชื่อว่า ทุกปัญหามันต้องผ่านไป ขอแค่อย่าท้อ จงเดินต่อไป ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่และเผชิญหน้ากับมัน เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันจะกลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเติบโตขึ้น และเข้าใจชีวิตมากขึ้นแน่นอน

 

Galeya: หนูอาจจะไม่ได้พูดอะไรที่ดูยิ่งใหญ่หรือเกินจริง แต่ไม่ว่าใครจะกำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม หนูอยากบอกว่า ชีวิตยังมีวันพรุ่งนี้เสมอ เราไม่สามารถจมปลักอยู่กับความเครียดหรือเรื่องราวในวันนี้ไปตลอด เพราะความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของเราจะต้องพบเจอกับปัญหาใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ยังไงเราก็ยังมีวันพรุ่งนี้ค่ะ แล้วก็ถ้าใครกำลังรู้สึกเครียดหรือไม่สบายใจ เวลามาเจอพวกเราตามงานจับมือ สามารถมาคุยหรือระบายให้ฟังได้นะคะ หนูก็พร้อมจะรับฟังเหมือนกัน

 

Arlee: อันนี้เป็นสิ่งที่อยากบอกแฟนคลับแล้วก็บอกตัวเองด้วย คือทุกการตัดสินใจที่เลือกทำอะไรไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือไม่ดี มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ เติบโต ได้เป็นเราในเวอร์ชันที่เติบโตเป็นคนที่ดีมากขึ้น มีประสบการณ์รับมือความผิดหวังได้เยอะขึ้นจริงๆ

 

แล้ววันหนึ่ง เมื่อเราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ แล้วมองย้อนกลับมา เราจะขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่สามารถผ่านมันมาได้ หนูอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเองว่า สักวันหนึ่ง เราจะเจอ ‘Green Flash’ ของตัวเอง มันอาจจะยังมาไม่ถึงในวันนี้ แต่มันจะรออยู่ที่ปลายทางอย่างแน่นอน

 

Popper: สำหรับหนู การรักและใจดีกับตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก บางครั้งเราอาจจะต้องเห็นแก่ตัวบ้างในบางเรื่อง เพื่อที่จะรักษาสุขภาพใจของตัวเองให้อยู่รอด ซึ่งมันเป็นเรื่องจำเป็นนะ แต่ขอแค่เราอย่าทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ

 

สุดท้าย หนูอยากให้ทุกคนรักตัวเองให้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงนี้ (General Election) เป็นช่วงที่ยากลำบากของทุกคน หนูรู้ว่าแฟนๆ ทุกคนอยากให้พวกเรามีความสุข แต่ทุกคนเองก็ต้องมีความสุขด้วยเหมือนกันนะคะ เพราะพลังใจมันเป็นสิ่งที่เราสามารถมอบให้กันและกันได้ หนูอยากให้มันเกิดขึ้นจริงๆ เป็นการรับและส่งต่อพลังใจให้กันค่ะ

 

 

ท้ายที่สุด… ความเศร้าให้อะไรกับเราในเชิงบวก?

 

Popper: ถ้าเราผ่าน (เรื่องเศร้า) มาได้ แล้วมองย้อนกลับมา เราจะภูมิใจในตัวเองอย่างแน่นอน หนูชอบประโยคที่ว่า ‘ถ้าเหนื่อย ก็แปลว่าเราสู้เต็มที่แล้ว’ มันคือเรื่องจริงเลย หนูเคยเหนื่อยๆ อยู่แล้วเจอประโยคนี้ ก็นั่งคิดว่ามันก็จริงเหมือนกัน เพราะหลายครั้งเวลาเราจะข้ามผ่านอะไรสักอย่าง เราจะมองไปที่ผลปลายทาง จนหลงลืมมองระหว่างทางที่เราก็อาจทำเต็มที่แล้วเหมือนกัน เลยรู้สึกว่า ถ้าเรายังมีแรงเหลือก็อยากให้คิดซะว่า ความเศร้าและอุปสรรคเป็นบททดสอบที่ทำให้เราแกร่งขึ้น และเมื่อเราผ่านมันไปได้ เราจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆ ว่าเราสามารถข้ามผ่านมันมาได้จริงๆ

 

Galeya: หนูรู้สึกว่า เวลาหนูเจออุปสรรคหรือความเศร้า สิ่งเหล่านี้ทำให้หนูโตขึ้นค่ะ รู้สึกว่าทุกปัญหาที่หนูผ่านมาตั้งแต่เด็ก มันทำให้หนูโตขึ้นจริงๆ ทั้งความคิด, mindset และทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นค่ะ

 

Arlee: ความเศร้าทำให้หนูได้สังเกตตัวเอง และสังเกตคนรอบข้างมากขึ้น แล้วมันก็ทำให้รู้ว่า ยังมีคนที่รักและคอยเชื่อมั่นในตัวเราอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่เศร้า หนูจะรู้สึกว่าความมั่นใจในตัวเองมันลดลง แต่ในช่วงเวลาแบบนั้น หนูกลับได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับ เพื่อนๆ หรือครอบครัว หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกคนมีเซนส์พิเศษหรือเปล่า เพราะเวลาที่หนูรู้สึกแย่ มักจะมีข้อความดีๆ ส่งมาหาเสมอ

 

มันทำให้หนูรู้สึกว่า แม้ในวันที่เราไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ก็ยังมีคนที่เชื่อมั่นในเราเสมอ และพวกเขาก็อยากเห็นเราเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่ดีพอ แต่มันจะมีวันที่เราดีขึ้นแน่ๆ

 

Emmy: จริงๆหนูชอบความเศร้านะ หนูรู้สึกว่าการที่หนูได้เศร้า มันทำให้หนูรู้ว่า

 

เรายังมีความรู้สึกอยู่ อีกอย่างคือหนูชอบความรู้สึกหลังที่หนู move on จากความเศร้าได้แล้ว มันให้ความรู้สึกเหมือนประโยคที่ว่า “ฟ้าหลังฝนจะสวยงามเสมอ” 

 

ถ้าเราผ่านเรื่องแย่ๆ มาได้แล้ว สุดท้ายมันจะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นสำหรับหนูตามมา มันทำให้เติบโตขึ้น ได้เห็นตัวเองในเวอร์ชันใหม่ในทุกๆ ครั้งที่เราเศร้า เหมือนได้ปลดล็อกตัวเองและพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าเสมอ

 

ฟังเพลง Green FlashBNK48

https://www.youtube.com/watch?v=nasBsbihuHo

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising