×

Bitcoin อัปเกรดครั้งแรกในรอบ 4 ปี หรือที่เรียกว่า ‘Taproot’ กับการมาของ Smart Contract บนเครือข่าย Bitcoin

15.11.2021
  • LOADING...
Bitcoin

การอัปเกรด Bitcoin ครั้งแรกในรอบ 4 ปี หรือที่เรียกว่า ‘Taproot Upgrade’ ซึ่งจะเข้ามาทำให้ธุรกรรมในเครือข่ายสามารถส่งผ่านกันได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังสามารถนำไปสู่การพัฒนาเป็นสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ได้อีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากการอัปเกรดไปเมื่อปี 2017 

 

เอลลิซ คิลลีน ผู้ก่อตั้งและผู้จัดการของบริษัทร่วมทุน Stillmark ที่เน้นด้านการลงทุนใน Bitcoin กล่าวว่า การอัปเกรด Taproot นั้นถือว่ามีนัยยะสำหรับผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสในการขยายรูปแบบการใช้งานของ Bitcoin ต่อไปในอนาคต เนื่องจากความรวดเร็วและประสิทธิภาพในเครือข่ายที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้สามารถเกิด Smart Contract ซึ่งนำไปสู่การเป็นระบบการเงินไร้ศูนย์กลางได้ (DeFi)

 

การอัปเกรดดังกล่าวมีการพัฒนา ‘Schnorr Signatures’ เข้าไปในเครือข่ายซึ่งเป็นลายเซ็นดิจิทัลที่จะทำให้สามารถยกระดับความเป็นส่วนตัว, เพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย และลดพื้นที่ในการใช้งานในเครือข่ายให้น้อยลง โดยการรวมบัญชีของทั้ง Private Key และ Public Key เข้าเป็นข้อมูลชุดเดียวในการเก็บข้อมูล 

 

จากเดิมที่เป็น ‘Elliptic Curve Digital Signature Algorithm’ ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะต้องมีการใช้ Private Key และ Public Key ของหลายส่วนในการทำธุรกรรม ทำให้บล็อกเชนจำเป็นต้องเก็บทั้ง Private Key และ Public Key ของทุกบัญชีในการทำธุรกรรมไว้ในเครือข่าย

 

ในปัจจุบันการที่สามารถพัฒนา Smart Contract ให้ทำงานได้ทั้งบนเครือข่ายหลักของ Bitcoin และ Lightning Network จะนำไปสู่การสร้างแพลตฟอร์มทางการเงินและธุรกิจต่างๆ บนเครือข่าย ซึ่งบนเครือข่าย Lightning จะสามารถทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและถูกลง และมีนักพัฒนาจำนวนมากได้ไปพัฒนา Smart Contract ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว 

 

ซึ่งทาง เฟรด ธีล ซีอีโอของ Marathon Digital Holding บริษัทด้านการขุดคริปโตฯ มองว่า จุดสำคัญสำหรับการอัปเกรด Taproot สำหรับ Bitcoin คือการพัฒนาไปเป็น Smart Contract ดังเช่นที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้กับเครือข่ายอย่าง Ethereum อยู่เช่นกัน 

 

แม้บนเครือข่ายของ Bitcoin จะได้รับการอนุมัติอัปเกรดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้ว แต่กว่าจะถูกดำเนินการจริงก็กินเวลามาถึงเดือนพฤศจิกายนเลยทีเดียว นั่นก็เพราะการเว้นระยะเวลาไว้เพื่อทดสอบระบบและป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจะเกิดขึ้นในขณะอัปเกรด

 

เจสัน ดีน นักวิเคราะห์จาก Quantum Economics กล่าวว่า การอัปเกรดสามารถนำไปสู่ข้อผิดพลาดที่รุนแรงได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะนำไปสู่การทำลายความเชื่อมั่นของโลกคริปโตฯ ได้เลยทีเดียว ดังนั้นการทดสอบจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังและไม่เร่งรีบ ทำให้กินเวลามาพอสมควร

 

เพราะถ้าหากผู้ใช้ Bitcoin จำได้ เมื่อปี 2013 เคยเกิดการผิดพลาดในการอัปเกรด และนำไปสู่การแบ่งครึ่งของ Bitcoin ออกเป็นสองส่วนอยู่ชั่วคราว และผู้ใช้งานคงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นครั้งดังกล่าวอีกอย่างแน่นอน

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising