Crypto รวมไปถึง Bitcoin นับว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่ถูกใช้ในการเก็งกำไรจากนักเสี่ยงโชคอย่างมาก จึงทำให้การเพิ่มหรือลดของราคาส่วนใหญ่เป็นผลโดยตรงมาจากความต้องการในการซื้อหรือขายในตลาด และปัจจุบันมีนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันที่เจนจัดในโลกการเงินจำนวนมากที่เข้ามาถือ Bitcoin ถ้าเราเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นทั่วๆ ไป มอง Bitcoin เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวหนึ่ง เหล่าเจ้ามือเหล่านี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่แสวงกำไรทั้งระยะสั้นและระยะยาว ย่อมต้องหาวิธีในการทำกำไรใน Bitcoin ในแต่ละรอบเช่นกัน
เนื่องจาก Bitcoin มีความกระจายศูนย์มากกว่าหุ้น และไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ การลากราคาจึงเป็นไปได้ยากสำหรับนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบัน เพราะการลากราคาโดยปกติต้องเกิดจากการ ‘นัดแนะ’ จุดเข้า จุดออก กับรายใหญ่ด้วยกันก่อน รวมถึงจะต้องมีข่าวดีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อใช้เป็นส่วนเสริมในการดันราคา ซึ่งในบทความนี้ผมจะพูดถึงทฤษฎีที่ว่า Bitcoin Halving อาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เหล่าวาฬเหล่านี้ใช้ในการนัดแนะกันลากตลาดแบบที่ไม่ต้องตั้งกลุ่มไลน์
ตั้งแต่ถูกสร้างมา Bitcoin ผ่านการ Halving มาทั้งสิ้น 3 ครั้ง และในเดือนเมษายนปีนี้ เราจะเข้าสู่การ Halving ในครั้งที่ 4 ซึ่งการ Halving ในเชิงเทคนิคคือการที่ปริมาณ Reward สำหรับนักขุดลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปีโดยประมาณ ซึ่งถ้าดูเผินๆ ก็เหมือนจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับราคามากมาย แต่ถ้าเราดูกราฟด้านล่างจะเห็นว่าในแต่ละ 4 ปีของการ Halving เราจะเห็นถึง Pattern ซึ่งใน 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง หลัง Halving แต่ละครั้ง ราคาจะวิ่งขึ้นไปทำ All Time High และหลังจากนั้นราคาจะร่วงอย่างหนัก 70-90% ซึ่งจะกินระยะเวลาอีกประมาณ 1 ปี และหลังจากนั้นราคาจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาอีกครั้งใน 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง ก่อนจะเข้า Halving รอบใหม่
ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าวาฬที่เป็นนักลงทุนอาชีพย่อมมองเห็น Pattern นี้อย่างชัดเจน และสามารถใช้จุดเหล่านี้ในการวางเวลาของการเข้าซื้อขายและทำกำไร โดยที่ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่งก่อน Halving ในขณะที่รายย่อยกำลังขยาดกับ Bitcoin เพราะราคาที่ร่วงอย่างหนัก เหล่าวาฬก็จะเข้ามาค่อยๆ เก็บจนทำให้ราคาเริ่มฟื้นตัว และฟื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ไปตาม Pattern
เมื่อถึงจุดที่เป็น Halving ก็จะเป็นช่วงที่แรงซื้อเริ่มเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมานาน เข้าใจถึง Pattern และอีกส่วนอาจมาจากนักลงทุนเจ้าเก่าที่เคยเป็นขาประจำกลับเข้ามาซื้อเนื่องจากราคาฟื้นตัว หลังจากนั้นราคาก็จะวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนช่วงที่ราคาทำ New High ก็จะมีนักลงทุนรายใหม่ๆ ที่เข้ามาในตลาดเพราะหวังจะรวย และพอครบเวลา 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง เหล่าวาฬและเซียนก็จะเริ่มเทเหรียญใส่มือเม่า จนตายอนาถ กลุ่มคนกลุ่มนี้รอบที่แล้วก็คือคนที่ซื้อ Bitcoin ที่ราคา 2 ล้านบาท หรือซื้อเหรียญ KUB ที่ราคา 500+ ซึ่งเป็นจุดที่ตาม Pattern ราคาน่าจะใกล้ดิ่งลงมากๆ แล้ว
ตามทฤษฎีนี้ถ้าจะเรียกว่าเป็นการรวมหัวก็คงไม่ถูกนัก แต่คงเป็นเพราะคนทั้งสองกลุ่มเห็น Pattern ดังกล่าว และร่วมกันใช้ Pattern นั้นเป็นตัวกำหนดจุดเข้า-ออก จนทำให้ราคามีแรงมากพอที่จะลากนำตลาดได้ รายย่อยหน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดคริปโตจึงต้องศึกษามากๆ เพราะทุกครั้งที่คุณอยู่ในตลาด และคุณไม่รู้ว่าเขากำลังจะกินเงินใคร เค้าอาจกำลังรวมหัวกันกินเงินคุณอยู่
การเขียนดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาแนะนำการลงทุน มีเจตนาเพียงแค่นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ และข้อมูลเท่านั้น