ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องความงามและการดูแลผิวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่การทำศัลยกรรมหรือการใช้บริการคลินิกความงามอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องของดารานักแสดงหรือผู้มีฐานะ แต่ในยุคนี้การดูแลผิวพรรณและความงามได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น คนวัยทำงาน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้การดูแลผิวและความงามไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามทั่วไปอีกต่อไป แต่หมายรวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาผิวพรรณและความงามอย่างตรงจุด และผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานกำกับดูแล
ในงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 (DST Annual Meeting 2025) ของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ‘Aesla’ ได้เข้าไปจัดบูธเพื่อนำเสนอนวัตกรรมความงามจากทั่วทุกมุมโลก ภายใต้แนวคิด ‘Aesla: Leading New Frontiers in World-Class Aesthetic Innovation’ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีความงามระดับโลกมาสู่วงการแพทย์ความงามไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจในการดูแลตัวเองมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ทาง THE STANDARD จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับ ศ.ดร.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา และ นพ.สมิทธิ์ อารยะสกุล ในบูธ ‘Aesla’ ถึงนวัตกรรมที่กำลังเป็นที่สนใจในวงการความงามปัจจุบัน ทั้ง Picosecond Laser, Microneedling RF, Filling Substance และ Polynucleotides ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงประโยชน์ ข้อควรระวัง และการเลือกใช้นวัตกรรมให้เหมาะสมกับตนเอง
Picosecond Laser: เทคโนโลยีแก้ปัญหาจุดด่างดำสำหรับคนไทย
ศ.ดร.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา เล่าว่า Picosecond Laser ได้เริ่มใช้ในคนไทยมาอย่างน้อย 6-7 ปีแล้ว โดยเหตุผลที่ได้รับความนิยมเป็นเพราะปัญหาหลักของคนไทยคือเรื่องจุดด่างดำ ซึ่ง Picosecond Laser พัฒนาขึ้นมาโดยมีคุณสมบัติในการช่วยลบจุดด่างดำโดยตรง
“อีกเหตุผลที่ Picosecond Laser ถูกนำมาใช้ในไทยเยอะๆ เมื่อเทียบกับต่างประเทศคือการปรับผิวให้เรียบ เพราะในต่างประเทศไม่ได้มองผิวเรียบหรือไม่เรียบเป็นปัญหา แต่คนไทยเราต้องการความเรียบแบบผิวกระจก หรือ Glass Skin” ศ.ดร.พญ.รังสิมา อธิบาย
การใช้ Picosecond Laser ที่มีการตั้งค่าพลังงานที่เหมาะสมจะสามารถปรับสภาพผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ได้รับผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทย จึงทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก
ด้าน นพ.สมิทธิ์ อารยะสกุล มองว่า Picosecond Laser เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการรักษาทั้งโรคผิวหนังและความงาม เนื่องจากเป็นช่วงคลื่นที่สั้นมากๆ จึงมุ่งไปยังการทำให้กลุ่มของเม็ดสีผิวที่เกิดความผิดปกติลดลง
“ช่วงคลื่นมีผลเหมือนกันเพราะมีเป้าหมายในการรักษาที่ต่างกัน เช่น ถ้าต้องการรักษารอยด่างดำโดยตรงก็ควรเลือกช่วงคลื่นที่โฟกัสไปที่ปัญหานั้นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาไปมากขึ้นทั้งเทคนิคและการรักษา การใช้พลังงาน ความถี่ในการยิงในแต่ละโรคและข้อบ่งชี้ทางความงามที่ไม่เหมือนกันเลย” นพ.สมิทธิ์ กล่าว
Microneedling RF: ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผิวคนไทย
ศ.ดร.พญ.รังสิมา อธิบายต่อว่า Microneedling RF เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อใช้กับผิวของคนไทยที่มีสีคล้ำ คลื่นความถี่วิทยุมีผลข้างเคียงที่น้อย
“เมื่อใช้เลเซอร์ที่มีพลังงานสูง ผลดีจะมาก แต่อาการข้างเคียงก็จะตามมา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีผิวคล้ำจะเกิดอาการผิวไหม้ได้ แต่อาจจะได้ผลดีกว่าในกลุ่มผู้ที่มีสีผิวขาว เพราะไม่ว่าจะผิวแบบไหนก็ให้ผลข้างเคียงที่เท่ากัน เนื่องจากสามารถตั้งค่าพลังงานได้หลากหลาย ทำให้คลื่นความถี่วิทยุได้รับความนิยมในไทย”
การนำเข็มมาประกอบการใช้ก็เพื่อทำให้คลื่นความถี่วิทยุสามารถลงไปลึกได้ถึงชั้นผิวที่ต้องการมากขึ้น เช่น ใช้เข็มสั้นเพื่อหวังผลเรื่องฝ้า และเข็มที่ยาวสำหรับเรื่องแผลเป็นที่อยู่ลึกในชั้นผิว ขณะเดียวกันหากมีเครื่อง Microneedling RF ที่มีความยาวเข็มมากพอและปล่อยพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากพอ การทำหัตถการนี้ไม่ได้ช่วยแค่ปรับผิวให้เรียบ แต่ช่วยยกกระชับผิวได้อีกด้วย
นพ.สมิทธิ์ มองว่า Microneedling RF เป็นคลื่นที่ตอบโจทย์ได้หลายอย่าง เป็นการผสานกันของการใช้เข็มที่ผ่านลงไปในผิวร่วมกับการใช้คลื่นวิทยุที่มีข้อดีคือมีเป้าหมายที่เป็นน้ำ ทำให้ไม่มีความแตกต่างกันที่ชนชาติหรือสีผิว
“ประเทศไทยค่อนข้างเหมาะกับพลังงานในลักษณะนี้ เพราะว่าเรามีความหลากหลายของสีผิวและลักษณะผิวเยอะ คนไทยจะมีตั้งแต่ผิวขาวไปจนถึงผิวเข้มเลย ด้วยเหตุนี้เครื่องมือที่เป็นคลื่นวิทยุจะช่วยลดความซับซ้อนของการตั้งค่าพลังงานและการรักษา ทำให้ง่ายขึ้นในการทำงาน”
อย่างไรก็ตาม นพ.สมิทธิ์ ชี้ให้เห็นว่าระบบเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำงานได้ง่ายนัก “สมัยก่อนหากเข็มใหญ่ไปก็เกิดการบาดเจ็บที่มากเกินไป เข็มที่เล็กไปหรือไม่แข็งแรงพอก็จะทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของการปล่อยพลังงานลงไป” นอกจากนี้ Microneedling RF ยังมีความแตกต่างกันไปในแต่ละผู้พัฒนา ซึ่งจะมีจุดเด่นและทฤษฎีที่แตกต่างกันไป บางรุ่นเน้นความแม่นยำ บางรุ่นเน้นการกระจายพลังงานให้ทั่วถึง
“ส่วนตัวจะเลือกระบบที่มีความแม่นยำ เพราะมีความสุขที่จะใช้เวลากับเครื่องมากขึ้น ไม่ได้หวังที่จะยิงอะไรแล้วได้ผลในครั้งเดียว ส่วนตัวไม่เชื่อในเรื่องนั้น แต่เชื่อในเรื่องค่อยๆ ทำทีละอย่างให้สำเร็จไปทีละเป้าหมาย เลยชอบจะเลือกเครื่องมือที่ปรับได้หลากหลาย และมีความเฉพาะเจาะจงทั้งพลังงานและความลึก” นพ.สมิทธิ์ เผย
Filling Substance: สารเติมเต็มที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
แม้เทคโนโลยีเครื่องมือต่างๆ จะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แต่ ศ.ดร.พญ.รังสิมา มองว่า Filling Substance หรือสารเติมเต็มต่างๆ ยังคงนำมาใช้ได้ดีมากกับการปรับรูปหน้า การปรับร่องลึกบางอย่างที่ผู้รับบริการอยากเห็นความแตกต่างหลังทำในขณะนั้น หรือเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยเฉพาะในกรณีที่การใช้เครื่องมือบางประเภทอาจทำให้ผิวหน้าแห้งลงจากความร้อน สารเติมเต็มจึงเป็นตัวเลือกที่สามารถ Mix & Match กับการรักษาอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม
นพ.สมิทธิ์ ก็มีความเห็นสอดคล้องกันว่า สารเติมเต็ม (Filling Substance) ได้กลายเป็นการรักษาที่มีผู้ใช้บริการพอสมควรในวงการความงามไปแล้ว โดยมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ทั้งที่ตั้งใจพัฒนาขึ้นเพื่อการเปลี่ยนแปลงปริมาตร รูปหน้า หรือบางรุ่นก็มีความคมชัดสำหรับการสร้างกรอบหน้าหรือโครงหน้าใหม่ ในขณะที่บางชนิดก็มีความนิ่มมาก เหมาะสำหรับการเพิ่มคุณภาพผิวและความชุ่มชื้น
อย่างไรก็ตาม นพ.สมิทธิ์ เตือนว่า “เทรนด์ในปัจจุบันมีการฉีดในปริมาณที่น้อยลง ไม่เน้นการฉีดในปริมาณที่มาก เพราะคาแรกเตอร์ของสารเติมเต็มที่ใช้ในปัจจุบันเป็น Hyaluronic Acid ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ การเติมเยอะไปจะทำให้เกิดภาวะหน้าบวมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์”
“แพทย์ควรเลือกให้เหมาะ จับปัญหาให้ได้ ฉีดเฉพาะบริเวณที่มีปัญหาและใบหน้าต้องการความเติมเต็มเท่านั้น อีกทั้งแพทย์ต้องเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์และเลือกที่มีมาตรฐาน” นพ.สมิทธิ์ แนะนำ
Polynucleotides: นวัตกรรมใหม่เพื่อความยืดหยุ่นของผิว
ศ.ดร.พญ.รังสิมา กล่าวถึงนวัตกรรมในกลุ่ม Polynucleotides ว่า ผิวหนังของคนเรามีหลายชั้น แต่ละชั้นมีความต้องการที่แตกต่างกัน ในผิวหนังชั้นกลางที่เป็นผิวหนังแท้ มีองค์ประกอบสำคัญไม่กี่อย่าง ได้แก่ Hyaluronic Acid ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำในผิว Collagen ที่ช่วยพยุงโครงสร้างของผิวหนัง และ Elastic fiber ที่ให้ความยืดหยุ่น
“จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า Polynucleotides สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ซึ่งแต่ก่อนที่ยังไม่มีสารเหล่านี้ ก็ต้องใช้เครื่องมือมาช่วย และต้องทำหลายครั้งเพราะไม่ได้เพิ่มเข้าไปตรงจุดอย่างที่ควรจะเป็น แต่ในระยะหลังๆ มีงานวิจัยออกมารองรับประสิทธิภาพของสารนี้ ทำให้แพทย์สามารถเลือกใช้กับผู้รับบริการที่มีปัญหาผิวได้ตรงจุดมากขึ้น”
ทั้งนี้ ศ.ดร.พญ.รังสิมา ยังให้ข้อแนะนำสำหรับการใช้ Polynucleotides ว่า “Polynucleotides คือโปรตีนที่สกัดมาจากปลาในกลุ่มแซลมอนและเทราต์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ในคนที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล และต้องมีการประเมินผู้รับบริการอย่างละเอียดก่อนการรักษาเพื่อระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น”
นพ.สมิทธิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า Polynucleotides มีความสามารถในการออกฤทธิ์ผ่านหลายกลไกเพื่อทำให้ผิวมีสุขภาพดี ทั้งการลดการอักเสบ การกระตุ้นให้เกิดคอลลาเจนแบบอ่อนๆ และปรับปรุงปัญหาผิวไปพร้อมกัน
“อาจจะไม่ได้เห็นผลในทันทีเหมือนสารเติมเต็ม เพราะไม่ใช่การฉีดเข้าไปตรงๆ แต่เป็นการส่งสัญญาณไปกระตุ้นการทำงานของผิว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Longevity หวังผลในระยะยาว และให้ผลที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นธรรมชาติ”
นพ.สมิทธิ์ เสริมว่า Polynucleotides เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงผิวในหลายด้านพร้อมกัน และไม่ได้ต้องการเติมในปริมาณมาก เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งอาจจะเห็นผลทั้งคุณภาพผิวที่ดีขึ้น ผิวละเอียดขึ้น และการอักเสบลดลง แต่ต้องแลกมาด้วยการรักษาที่ต้องใช้เวลาและอาจต้องทำซ้ำ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ยังขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและไลฟ์สไตล์ด้วย
การเลือกนวัตกรรมความงามให้เหมาะสม
ศ.ดร.พญ.รังสิมา เน้นย้ำว่า แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่ไม่มีเครื่องมือเดียวที่สามารถรักษาได้ทุกอย่าง “หากปัญหาของผู้รับบริการเป็นอีกแบบหนึ่ง เช่น ต้องการคุณภาพผิวดี ความชุ่มชื่น หรือการปรับรูปหน้า การใช้เครื่องมืออาจจะให้ผลเหมือนกันแต่อาจจะต้องทำหลายรอบหรือมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับการเลือกนวัตกรรมที่ตรงกับปัญหา”
ยิ่งเวลาผ่านไปเทคโนโลยีก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีตที่เทคโนโลยีมีข้อจำกัดเยอะ ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าเทคโนโลยีปัจจุบัน แม้ผิวของคนไทยที่อาจจะมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูงกว่า ก็มีเทคนิคที่ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงได้มากขึ้น
ศ.ดร.พญ.รังสิมา มองว่า “ปัจจุบันคือยุคของผู้บริโภค เมื่อตลาดมีการแข่งขัน เทคโนโลยีมีการพัฒนาใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา มีความหลากหลายมาให้เลือก ที่สามารถเลือกใช้หัตถการที่ตรงกับปัญหาของตัวเองมากขึ้น ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม นพ.สมิทธิ์ เน้นว่า แพทย์ความงามทำงานกับมนุษย์จึงต้องวิเคราะห์ความต้องการของผู้รับบริการอย่างถี่ถ้วน “คนเราไม่จำเป็นต้องทำทุกนวัตกรรมกับตัวเอง ความงามไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ใหม่ที่สุดเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป จะมีสิ่งที่เหมาะกับบางคนและไม่เหมาะกับบางคน”
แพทย์ต้องมีการปรึกษากับผู้รับบริการอย่างละเอียด เพราะผลข้างเคียงเป็นสิ่งที่สำคัญ และผู้รับบริการหลายคนมีโรคประจำตัวหรือมีภาวะบางอย่างที่อาจทำให้ไม่สามารถใช้ยาหรือเครื่องมือบางอย่างได้ จึงต้องพูดคุยให้ชัดเจนและเลือกทางที่ถูกต้อง
มองไปข้างหน้า: ความงามยั่งยืนและการใช้ข้อมูลเพื่อการรักษาเฉพาะบุคคล
นพ.สมิทธิ์ มองว่า เทรนด์และทิศทางของนวัตกรรมความงามในปัจจุบันกำลังมุ่งไปยังเรื่อง ‘ความลึกซึ้ง’ ที่มากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิด Longevity ที่ไม่ได้หมายถึงความอายุยืนยาวอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงสุขภาพที่ดีและการคงความงามรวมถึงสุขภาพผิวด้วย
“ในยุคปัจจุบันเราจะเห็นทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือที่ไม่ใช่โฟกัสแค่สิ่งที่เห็นภายนอก แต่เกี่ยวเข้าไปถึงการทำงานข้างในผิว เช่น ไปกระตุ้นผิว เพื่อรักษา และฟื้นฟูผิวให้กลับมาได้” นพ.สมิทธิ์ กล่าว
หากมองไปในอนาคต นพ.สมิทธิ์ เชื่อว่าการนำ ‘ข้อมูล’ หรือ Big Data มาใช้จะเห็นเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มของการตรวจวิเคราะห์ผิวหรือร่างกาย เพื่อให้ทราบว่าจุดใดมีความเสื่อม จุดใดต้องการการรักษาเพิ่มเติม และจุดใดที่ยังไม่จำเป็นต้องรักษา
“เหล่านี้จะมีความละเอียดมากขึ้นผ่านการวางแผนเฉพาะบุคคล การวิเคราะห์เข้าไปถึงระดับเซลล์หรือพันธุกรรม มาออกแบบการรักษาทั้งล่วงหน้า ป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น ซึ่งตอนนี้อาจจะไปไม่ถึงแต่อนาคตมาแน่ๆ”
ศ.ดร.พญ.รังสิมา แนะนำเพิ่มเติมว่า แพทย์เองก็ต้องเติมความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “แม้แต่เครื่องมือที่คล้ายๆ กันยังมีเทคนิคการใช้ที่แตกต่างกัน การเติมความรู้ใหม่ๆ จะทำให้แพทย์สามารถใช้เครื่องมือได้อย่างถูกต้องและติดตามผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ทัน ซึ่งบางครั้งผลข้างเคียงอาจไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่อาจตามมาภายหลัง 6 เดือน”
Aesla: ผู้นำนวัตกรรมความงามระดับโลกสู่ประเทศไทย
Aesla คือผู้นำในการนำเข้านวัตกรรมความงามจากบริษัทผู้ผลิตแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ด้วยมาตรฐานการคัดสรรที่เข้มข้น เน้นเฉพาะเทคโนโลยีที่ผ่านการรับรองจาก U.S. FDA และเป็น Gold Standard ด้านเครื่องมือแพทย์ระดับโลก บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเลือกเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิก และได้รับการยอมรับจากแพทย์ระดับนานาชาติ
นอกจากการจัดบูธแสดงนวัตกรรมแล้ว ภายในงาน DST 2025 บริษัท Aesla ยังได้จัดกิจกรรม Dinner Symposium เพื่อให้แพทย์ผู้เข้าร่วมได้อัปเดตความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านความงาม พร้อมประสบการณ์และเทคนิคการใช้เทคโนโลยี จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อช่วยส่งเสริมมาตรฐานการรักษาในวงการแพทย์ความงามไทย
อีกหนึ่งคุณค่าที่สะท้อนผ่านทุกกิจกรรมของ Aesla คือ “ความงามอย่างยั่งยืน” ที่ไม่ได้เน้นแค่ผลลัพธ์ทางการแพทย์ แต่ยังใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน ในงาน DST 2025 ที่ผ่านมา บูธของ Aesla ได้แจกเครื่องดื่มในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% พร้อมมอบ EcoSmart Bag ให้กับผู้เข้าชมงาน เพื่อเน้นย้ำแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามหลักการ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ในยุคที่เทคโนโลยีมีความงามก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและผู้บริโภคมีความรู้มากขึ้น การเลือกนวัตกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคลจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการดูแลผิวและความงาม ไม่ใช่ทุกเทคโนโลยีใหม่ที่จะเหมาะกับทุกคน และไม่ใช่ทุกปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยเครื่องมือเพียงชนิดเดียว การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทางสู่ความงามที่ยั่งยืนและเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง