×

บีมบีม FEVER ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้รู้จักเผื่อใจ เราเลยต้องตามหาเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความตั้งใจกลับมาอีกครั้ง

26.01.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • บีมบีมเคยเป็นหนึ่งในคนที่ผ่านการออดิชันพร้อมกับเพื่อนๆ BNK48 รุ่นแรก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เธอตัดสินใจไม่เซ็นสัญญาและเลือกเดินไปอีกเส้นทางหนึ่งที่แตกต่างออกไป ก่อนที่ล่าสุดเธอจะกลับมาสู่เส้นทางการเป็นไอดอลอีกครั้งในฐานะสมาชิกวงน้องใหม่อย่าง FEVER
  • ก่อนจะมาถึงจุดนี้ บีมบีมเคยเป็นเด็กอ้วน ใส่แว่น เนิร์ด ติดเกม และชอบเต้นคัฟเวอร์มาก่อน
  • บีมบีมมีหนึ่งความฝันที่ยึดมั่นมาตลอดคืออยากให้คุณแม่ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก ถึงขนาดที่เธอเคยสมัครเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ที่ร้านอาหารและรับสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษมาแล้ว
  • เริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยการแคสต์โฆษณาที่ปกติเธอจะถอดแว่นก่อน แต่วันหนึ่งมีคนบอกให้เธอใส่แว่นเข้าไปแคสต์ แล้วปรากฏว่าเธอได้งานโฆษณาตัวนั้นจริงๆ และกลายเป็นจุดกำเนิดของสาวแว่นที่ชื่อบีมบีมขึ้นมา
  • บีมบีมรู้สึกว่ายิ่งเธอเติบโตมากขึ้น ความพยายามและความกระตือรือร้นในวัยเด็กก็ยิ่งลดลง และตอนนี้หนึ่งในเป้าหมายของเธอในการเป็นสมาชิกวง FEVER ก็คือการพาเด็กสาวที่แสนกระตือรือร้นคนนั้นกลับมาให้ได้

ก่อนหน้านี้เราเกือบจะได้เห็น บีมบีม-กมลพร โกสียรักษ์วงศ์ ขึ้นไปยืนทำท่า ‘โอนิกิริ’ พร้อมๆ กับเพื่อนๆ สมาชิกวง BNK48 รุ่นแรกที่ออดิชันผ่านมาพร้อมๆ กัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เธอตัดสินใจทิ้งหนึ่งในความฝันส่วนตัววัยเด็กที่อยากเป็นนักร้องเพื่อเลือกอีกหนึ่งความฝันที่สำคัญไม่แพ้กัน

 

หลังจากนั้นก็ติดตามและเฝ้ามองเพื่อนๆ เดินทางไปบนเส้นทางนั้นอยู่ห่างๆ ในขณะที่เธอเริ่มต้นเส้นทางใหม่กับการเป็นแอร์โฮสเตสของสายบินไทยสมายล์ ต่างคนต่างมุ่งมั่นไปในทิศทางที่ตัวเองเลือกด้วยความตั้งใจ

 

แต่อาจจะเพราะโชคชะตาที่ปลุกเศษเสี้ยวความฝันที่เกือบหลงลืมไป และพาเธอกลับมาสู่การเป็น ‘ไอดอล’ อีกครั้งในฐานะสมาชิกวงน้องใหม่อย่าง FEVER ที่เพิ่งเปิดตัวด้วยซิงเกิล Start Again และกำลังจะปล่อยเพลง Ghost World ออกมาให้ฟังเร็วๆ นี้

 

สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าบีมบีมน่าสนใจเป็นอย่างมากคือการที่เธอไม่ได้พูดถึงจุดเด่นเรื่องความ ‘พยายาม’ ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดแบบที่หลายคนเคยพูดถึง

 

ความรู้สึกในใจที่ทำให้เธอไม่ได้ไปต่อกับ BNK48 ทำให้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พร้อมยอมรับความจริงที่ว่าเราไม่อาจเลือกทำในทุกสิ่งได้อย่างใจที่เราหวัง และนั่นทำให้ ‘เด็กสาว’ ที่เคยเต็มไปด้วยความพยายามค่อยๆ เลือนหายไปจากใจของเธอ

 

ถ้ามองในแง่นี้ เธออาจจะเป็นไอดอลที่มีแต้มต่อน้อยกว่าคนอื่นในเรื่องของความพยายาม แต่เราเชื่อว่าการกล้าที่จะ ‘ยอมรับ’ ตัวตนและ ‘ความรู้สึก’ ที่แท้จริงของตัวเองก็เป็นคุณสมบัติสำคัญในฐานะไอดอลไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เหมือนกัน

 

 

บีมบีมเคยผ่านช่วงเวลาวัยเด็กแบบไหนมาบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นสมาชิกวง FEVER แบบทุกวันนี้

เป็นเด็กแว่น อ้วนๆ เตี้ยๆ ที่ชอบเล่นเกมมาก จะมีช่วงประถมจนถึง ม.2 ที่จะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่ไปไหน เล่นเกมอย่างเดียวตั้งแต่ The Sims, Harvest Moon, Chocobo, Red Alert แล้วก็เกม Audition ที่คิดว่าเล่นได้เซียนที่สุด (หัวเราะ)

 

แต่อีกพาร์ตหนึ่งก็เป็นคนชอบทำกิจกรรมหลายอย่างมาตั้งแต่เด็ก เดินไปสมัครขอเป็นเชียร์ลีดเดอร์แล้วบอกพี่ๆ ว่า ถึงหนูจะอ้วน แต่หนูก็ตั้งใจนะคะ (หัวเราะ) แล้วเขาก็ให้เป็นจริงๆ อยู่ชมรมพิธีกร อะไรก็ได้ที่มีกิจกรรมให้ทำ บีมทำหมด แล้วก็ค่อนข้างตั้งใจเรียนถึงขนาดจะเรียกว่าเป็นเด็กเนิร์ดก็ได้ (หัวเราะ)

 

กับอีกอย่างหนึ่งที่มีความสุขมากๆ ในช่วง ม.ต้น คือการติดตามศิลปินเกาหลี (หัวเราะ) ที่ชอบมากคือ Wonder Girls ที่จะรวมกลุ่มเพื่อนๆ มาแกะท่าเต้นคัฟเวอร์ด้วยกัน แบ่งกันเรียบร้อยว่าใครเป็นใคร และแน่นอนว่าบีมได้เป็นซอนเย (หัวเราะ) หัวหน้าวง เพราะชอบเป็นตัวตั้งตัวตีแกะท่าให้ เคยเกือบได้ไปประกวดด้วยนะ ซ้อมเรียบร้อย แต่ล้มเลิกไปก่อน เพราะตอนมัธยมโดนตัดผมสั้น แล้วทุกคนรู้สึกเขินที่ต้องไปเต้นด้วยลุคแบบนั้น (หัวเราะ)

 

หลังจากนั้นก็เริ่มไปติดตามวงอื่นๆ อย่าง Girls’ Generation, 2NE1, Super Junior, TVXQ! แต่ตอนนั้นเราชอบเพราะเขาสวย หล่อ เต้นเก่ง มีความสามารถ และประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่ได้รู้ว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้

 

 

เด็กกิจกรรมแบบบีมบีมตอบคำถามของผู้ใหญ่ที่ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรว่าอย่างไร

จะมีช่วงแวบๆ ที่อยากเป็นหมอ เพราะคิดว่ารายได้มั่นคง แล้วเราก็ใส่แว่น เนิร์ดๆ น่าจะพอเป็นได้ (หัวเราะ) แล้วพอคิดแบบนั้นก็ตัดเรื่องการเป็นดาราไปได้เลย เพราะรวมทั้งรูปร่างเราเองด้วยที่คิดว่าคงไม่สามารถเป็นได้ แต่พอหลังๆ กลายเป็นว่าภาพที่อยากเป็นหมอมันไม่ได้ชัดขนาดนั้น

 

เพราะพอช่วง ม.ปลาย เรามาเริ่มมีความคิดว่าอยากให้แม่พักจากการทำงานหนัก เลยคิดว่าต้องช่วยทำอะไรบางอย่าง แล้วตอนนั้นบีมสอบตรงได้ทุนเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่าคะแนนเราพอได้ ก็เริ่มจากรับสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษแบบท่ีเคยเห็นนั่งสอนกันตามห้างทั่วไป ได้ชั่วโมงละ 300-400 บาท แต่เข้ามหาวิทยาลัยจริงๆ ด้วยความที่เป็นเด็กกิจกรรมก็ทำอะไรหลายอย่างไปหมด แล้วดันเลือกเรียนภาควิชาสถิติที่ยากมาก คิดว่าอาจจะไม่ใช่ทางของเรา ก็เลยตัดสินใจรอสอบเอ็นทรานซ์ใหม่

 

ระหว่างนั้นก็สอนพิเศษไปเรื่อยๆ แต่เป็น 1 ปีที่เคว้งคว้างมาก เพราะเห็นเพื่อนๆ ที่เขาเริ่มเรียนไปได้ไกลแล้ว แต่เรายังอยู่กับที่ จนไปเห็นประกาศรับสมัครนักแสดงเอ็กซ์ตร้าในกลุ่มเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นความฝันที่เราอยากทำมาตลอด แต่ด้วยรูปลักษณ์ในตอนนั้นเลยคิดว่าคงทำไม่ได้ คราวนี้ก็เลยมาลดน้ำหนัก ดูแลตัวเอง เริ่มไปแคสต์งาน โชคดีว่างานแรกที่ได้เขาให้บีมเป็นตัวหลักของโฆษณาด้วย ได้เงิน 2,000 บาท จำนวนเงินน้อยมาก แต่ในใจเรามันสุดยอดเลยนะ เริ่มมีความหวังในสิ่งที่เคยฝันไว้ มีโมเดลลิ่งมาติดต่อ หลังจากนั้นก็วิ่งแคสต์งานไปเรื่อยๆ พร้อมกับได้ทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเอแบค

 

มีจุดเปลี่ยนหนึ่งคือแรกๆ บีมจะถอดแว่นก่อนไปแคสต์ แล้วมันจะได้แค่เข้ารอบ แต่ยังไม่ได้ จนวันหนึ่งพี่ที่คุมแคสต์เห็นแล้วบอกให้ลองใส่แว่นแคสต์ไปเลย ปรากฏว่าได้งานของหับ โห้ หิ้น ตอนพี่โมเดลลิ่งโทรมาบอก บีมกรี๊ดจนพี่เขาถามว่าทำไมต้องเวอร์ขนาดนี้ (หัวเราะ) แต่สำหรับเรามันยิ่งใหญ่มากเลยนะ จากเด็กอ้วนๆ ที่ได้แต่ฝันเรื่องการเป็นนักแสดงในวันนั้น หลังจากนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ นอกจากงานที่เข้ามามันยังทำให้บีมเรียนรู้อีกอย่างว่าการเป็นตัวของเรานี่แหละดีที่สุดแล้ว เพราะตอนแรกเห็นคนอื่นไม่ใส่แว่นแคสต์ เราก็ทำตาม แต่พอใส่แว่นปุ๊บ พีกสุดคือเดือนหนึ่งได้ 5 งานติดต่อกันเลย

 

ทำแบบนั้นประมาณ 3 ปีจนถึงช่วงปี 4 เทอม 1 ที่ต้องคิดเรื่องการหางานที่มั่นคงทำ เราอยากดูแลแม่ให้ได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องให้ญาติๆ คอยช่วยเหลืออยู่ ก็เลยคิดว่าจะไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส แต่ระหว่างนั้นก็มีข่าวว่าวง BKN48 ประกาศออดิชันขึ้นมา ซึ่งมันก็ตรงกับความฝันของเราอีก เพราะบีมอยากเป็นนักร้องตั้งแต่ติดตามวงไอดอลเกาหลีแล้ว (หัวเราะ) แต่รู้ตัวว่าเราไม่ได้เสียงดีมากขนาดจะไปประกวดร้องเพลงเวทีต่างๆ ได้ แต่คอนเซปต์ของวงนี้คือไม่ได้ต้องเก่งมาตั้งแต่แรก แต่ทุกคนจะเริ่มพัฒนาไปพร้อมกัน ก็เลยตัดสินใจไปออดิชันจนผลออกมาว่าเรามีชื่อเป็นสมาชิกของวงนี้ด้วย

 

 

แต่สุดท้ายบีมบีมก็ตัดสินใจไม่เซ็นสัญญา และทิ้งโอกาสที่จะทำตามความฝันนั้นไป

มันเป็นการต่อสู้ระหว่างความฝันสองอย่างในชีวิตของบีมเลยนะ การเป็นนักร้องคือความฝันส่วนตัว แต่สุดท้ายความฝันหลักของเราก็ยังต้องการเลี้ยงดูครอบครัวให้ได้อยู่ดี อาจจะผิดที่เราเองด้วยที่ไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน ตอนที่สมัครแอร์โฮสเตสเพราะเราคิดว่าจะทำงานไปด้วยแล้วก็แคสต์งานโฆษณาพร้อมๆ กันเหมือนเดิม แต่ถ้าอยู่วงนี้ปุ๊บก็ต้องไปทำตรงนั้นแบบเต็มตัว ทำให้ไม่สามารถทำงานอื่นได้เลย เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สุดท้ายบีมก็คุยกับแม่แล้วก็ตัดสินใจร่วมกันว่าไม่ไปต่อ แล้วทำงานแอร์โฮสเตสเต็มตัว

 

พอเป็นแอร์โฮสเตสได้ประมาณ 1 ปีก็มาเจอจุดเปลี่ยนอีกครั้งคือมีวง FEVER ปิ๊งขึ้นมา ความฝันยังมีอยู่ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นแบบเดิมหรือเปล่า โชคดีที่บีมมีพี่ที่รู้จักในวงเขาบอกว่าเรายังเป็นแอร์โฮสเตสต่อไปได้ ก็เลยมาออดิชันอีกครั้ง แล้วก็ได้มาเป็นสมาชิกวง FEVER ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานมากๆ ที่ยินดีให้บีมเข้ามา ทั้งๆ ที่อาจจะมีเวลาไปซ้อมได้น้อยก็ตาม

 

ความรู้สึกกับคำว่า ‘ไอดอล’ ของบีมบีมเปลี่ยนไปบ้างไหม จากคนที่อยากเป็นนักร้องเพราะชอบศิลปินเกาหลี ไปสู่คนที่เกือบจะได้เปิดตัวในฐานะสมาชิกวง BNK48 จนกระทั่งได้มาเป็นไอดอลจริงๆ กับวง FEVER

เปลี่ยนเยอะเลยนะ สมัยติดตามวงเกาหลีคิดว่าไอดอลคือความสวย เก่ง โดยที่เราจะไม่ค่อยได้รู้เบื้องหลังเท่าไรว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะเก่งและประสบความสำเร็จขนาดนั้นได้ จนช่วงออดิชัน BNK48 ที่เริ่มไปศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นก็คิดว่าไอดอลคือความพยายามที่เป็นจุดสำคัญมากๆ ของวงไอดอลแทบทุกวง ซึ่งตอนนั้นอินมาก ในฐานะที่เราเองก็เคยเป็นคนที่มีความพยายามมากๆ มาก่อนเหมือนกัน

 

แต่ว่าตอนนี้กลายเป็นคิดว่าไอดอลเป็นเรื่องของโชคชะตาเหมือนกันนะ แน่นอนว่ามีคนพยายามอย่างหนัก แล้วเขาก็ได้เฉิดฉายแบบนั้นจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายคนที่ต่อให้พยายามเท่าไร แต่สิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้แสดงผลออกมาให้เห็นอยู่ดี

 

ไม่ได้บอกว่าใครผิดหรือถูกนะ บีมอาจจะผิดเองก็ได้ที่ตัดสินเรื่องนี้เร็วเกินไป สักวันอาจจะมีวันของคนที่พยายามอย่างหนักจริงๆ ก็ได้ แต่ตอนนี้อาจจะเพราะยิ่งโตขึ้น เราก็ยิ่งมองโลกในแง่ลบมากขึ้น มันดันคิดไปว่าความพยายามอย่างเดียวอาจจะไม่พอก็ได้ อย่างตอนนั้นถามว่าบีมพยายามไม่พอเหรอ บีมพยายามทำทุกอย่างจนออดิชันผ่านแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ยังตัดสินใจไม่ไปตรงนั้นอยู่ดี แล้วอาจบอกว่าทุกอย่างมีผลต่อโชคชะตาที่อาจจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดกับความผิดหวังน้อยลง เพราะอย่างน้อยนั่นคือปัจจัยที่ไม่ได้เกิดจากตัวเรา

 

 

ระหว่าง 1 ปีที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสเต็มตัว บีมบีมได้กลับไปมองความเคลื่อนไหวของวง BNK48 อย่างไรบ้าง ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มเดินหน้าบนเส้นทางของตัวเองแล้วเหมือนกัน

บีมโชคดีที่ยังติดต่อกับเพื่อนๆ ในวงอยู่ด้วย แต่ช่วงแรกๆ ยังไม่รู้เรื่องอะไรมาก เพราะเขาเก็บตัวซ้อมหนัก ส่วนบีมก็มุ่งมั่นกับการเทรนเพื่อเป็นแอร์โฮสเตสที่เหนื่อยมากๆ เหมือนกัน จนพอเริ่มเดบิวต์ก็ได้นั่งกินข้าว พูดคุยอัปเดตกันบ้าง มีเหนื่อย มีท้อเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ดีคือทุกคนกำลังมุ่งมั่นไปในทางที่ตัวเองเลือกแล้ว

 

แล้วพอวันหนึ่งที่เพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ปล่อยออกมาแล้วทุกคนก็รู้จัก BNK48 กันหมดก็ยิ่งรู้สึกดีมาก พูดจริงๆ ไม่ได้ปลอบใจตัวเองเลยนะ บีมบอกเพื่อนตลอดว่าเพลงนี้น่ารัก บีมเคยใช้เพลงนี้ออดิชัน BNK48 ด้วย เราไม่แปลกใจเลยที่เพลงจะดัง เพราะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ อยู่แล้ว

 

เคยลองจินตนาการไหมว่าจะเป็นอย่างไรถ้าตัวเองได้ไปยืนอยู่ในจุดนั้นพร้อมกับเพื่อนๆ

คิดตลอดเลย บีมเป็นพวกชอบคิดภาพล่วงหน้า คิดตั้งแต่ตอนออดิชันแล้วด้วยซ้ำว่าได้ขึ้นไปยืนบนเวที (หัวเราะ) แต่พอถึงวันหนึ่งที่เรายืนมองเพื่อนๆ จากอีกจุดหนึ่ง มันก็มีแต่ความรู้สึกดีๆ นะ ยินดีกับเพื่อนๆ แต่ถ้าถามว่ามีสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่บ้างไหม ก็มี แต่ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนๆ เลย

 

แต่เกิดจากการที่บางทีเราแค่อยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้กำลังใจเพื่อนๆ หรือแค่เต้นเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ก็จะโดนคอมเมนต์ประมาณว่า นี่ไงอดีต BNK48 ที่พยายามเกาะกระแสให้ตัวเองกลับมาดัง เราก็ได้แต่ถอนหายใจว่าเราจะเกาะเขาไปเพื่ออะไร ทำแล้วเขาจะดึงเรากลับไปเป็นสมาชิกเหรอ เราแค่ทำเพราะคิดถึงเพื่อนๆ เฉยๆ เราไม่ได้คิดที่จะกลับไป เพราะทุกคนเริ่มเดินในเส้นทางของตัวเองแล้ว มันน่าเศร้าเหมือนกันนะที่เราไม่สามารถแม้แต่จะให้กำลังใจเพื่อนได้ เพราะแค่เรามีคำว่าอดีตติดอยู่เท่านั้นเอง

 

ความรู้สึกของบีมบีมเปลี่ยนไปบ้างไหม ถ้าเทียบระหว่างตอนออดิชัน BNK48 กับตอนออดิชันวง FEVER

ยังมีไฟอยู่ แต่น้อยลงเยอะเหมือนกัน เหมือนว่าเราเจ็บมาเยอะแล้ว เลยมีความรู้สึกเผื่อใจว่าเราอาจจะไม่ได้อยู่เยอะเหมือนกัน แต่ตอน BNK48 มันมีความเฟรช เราไม่เคยมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน เราก็เต็มที่มาก ปฏิเสธงานโฆษณา ให้เพื่อนสนิทมาสอนร้องเพลงทุกวัน เอาจริงเอาจังกับการลดน้ำหนักมากขึ้น จนมีความคิดแค่อย่างเดียวว่าเราต้องได้แน่ๆ นี่คือข้อเสียของการที่เรามั่นใจในตัวเองมาตลอด คือมันทำให้เราเจ็บมากเสียจนไม่กล้าทำอะไรเต็มที่อีกเลย

 

แล้วมันก็ส่งผลมาถึงตอนเราเข้ามาอยู่ในวงจริงๆ เพราะมีเสียงในหัวตะโกนให้เผื่อใจไว้ตลอด กลายเป็นว่าเรากลายเป็นคนที่รู้สึกว่า โอเค เราสามารถอยู่ตรงนี้ได้ เป็นสิ่งที่เราฝัน เป็นพื้นที่ปลอดภัยและมอบความสุขให้กับเรา แล้วเราก็หาเหตุผลให้ตัวเองว่าเราต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง เพราะยังไงก็มีน้องคนอื่นๆ ที่เขามีความสามารถพาวงไปได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ดีนะ เหมือนเราหาข้ออ้างให้ตัวเองทั้งๆ ที่เราควรจะทำอะไรมากกว่านี้ มันสบายใจขึ้นนะ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเราไม่ได้พยายามเหมือนที่เราเคยเป็น

 

 

พอมองย้อนกลับไปรู้สึกคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ บ้างไหม ฟังแล้วเป็นเรื่องน่าเศร้าเหมือนกันนะ จากเด็กที่เต็มไปด้วยความฝัน มีความพยายามในทุกๆ อย่าง แต่ตอนนี้เหมือนว่าประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ทำให้เติบโตขึ้นกลับทำให้ความรู้สึกดีๆ นั้นลดน้อยลง

(คิดนาน) เออ บีมไม่คิดได้คิดถึงเด็กคนนั้นแล้วจริงๆ นะ แต่พอมาคิดตอนนี้ ช่วงเวลาแบบนั้นก็สนุกดีจริงๆ ไม่แน่ว่ากลับไปอาจจะต้องพยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อพาเด็กคนนั้นกลับมา

 

คิดว่าวง FEVER จะมีส่วนช่วยให้บีมบีมพาเด็กคนนั้นกลับมาได้อย่างไรบ้าง

(คิดนาน) ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้จะดีหรือเปล่า แต่ถ้าตอบคำถามให้ตรงที่สุดคือบีมเคยพูดกับน้องๆ ในวงเรื่องกัปตันว่าเรารู้ตัวว่านิสัยและภาระหน้าที่หลายอย่างของเราคงไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ มีคนที่เหมาะสมและทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่าเราอีกเยอะมาก เราอยากเป็นแค่สมาชิกคนหนึ่งก็พอ

 

แต่พอคิดแบบนั้นมันก็จะเกิดความรู้สึกแบบที่บอกคือทำให้เราไม่พยายามเท่าไร แต่ถ้าสมมติมันมีหน้าที่หรือตำแหน่งบางอย่าง อาจจะไม่ใช่กัปตัน แต่เป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เราต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เพราะตอนนี้เรายังไม่สามารถบังคับตัวเองได้มากพอ แต่ถ้ามีอะไรบางอย่างมาให้โฟกัสมากขึ้น บีมเชื่อว่าตอนนั้นแหละที่จะทำให้บีมกลับมาพัฒนาตัวเองจนทำสิ่งนั้นได้ เพราะนี่เป็นนิสัยของบีมว่าถ้ามีใครมอบหมายให้ทำอะไร เราก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อทำสิ่งนั้นให้ได้ดีที่สุด

 

ตอนนี้คงเป็นช่วงที่บีมต้องตามหาสิ่งนั้นอยู่ อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ตำแหน่ง แต่เป็นบางอย่างในชีวิตที่ทำให้เรากลับมาตั้งใจพัฒนาตัวเองได้จริงๆ อะไรก็ได้ที่ช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าควรทำยังไงต่อไป สัญญาว่าจะรีบกลับไปหาสิ่งนั้นให้เจอ

 

ขอบคุณเสื้อผ้าจาก Disaya และ Matter Makers

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • สมัยอนุบาลบีมบีมเป็นเด็กที่ตัวเล็กมาก แต่วันหนึ่งแม่พาไปหาญาติๆ แล้วญาติบอกว่าตัวเล็กเกินไป แม่ก็เลยหาอาหารที่กินแล้วน่าจะอ้วน โดยเฉพาะไก่ทอด ที่ทำมาให้กินจนกลายเป็นอาหารโปรด ถึงขนาดบีมบีมเคยร้องไห้ช่วงที่ไข้หวัดนกระบาด เพราะกลัวว่าจะไม่ได้กินไก่ทอดอีกแล้ว
  • บีมบีมเคยน้ำหนักมากที่สุดอยู่ที่ 62 กิโลกรัม
  • บีมบีมเคยไปสมัครเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ที่ร้าน Subway มาก่อน ก่อนที่จะรับงานสอนพิเศษภาษาอังกฤษภายหลัง
  • สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของบีมบีมเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/beambeam.fever และ Instagram @beambeam.feverth
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising