×

โอกาสในอินโดนีเซียดีเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้! ฉายภาพการโตนอกบ้านเกิดของ ‘ธนาคารกรุงเทพ’ ภายใต้การนำ ‘ชาติศิริ โสภณพนิช’ ทายาทรุ่นที่ 3

14.07.2021
  • LOADING...
ชาติศิริ โสภณพนิช

หลังประสบความสำเร็จจากการเข้าซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตา (Permata Bank) ในอินโดนีเซีย ที่ทุ่มเงินไปกว่า 2.7 พันล้านดออลาร์สหรัฐ หรือราว 8.8 หมื่นล้านบาท เมื่อปี 2019 ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเข้าซื้อที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของธนาคารกรุงเทพ เเละยังถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนเเปลงครั้งสำคัญที่จะช่วยเสริมให้ธนาคารกรุงเทพมีรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นในสองประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน

 

การเข้าถือหุ้นกว่า 89% ของธนาคารกรุงเทพในธนาคารเพอร์มาตาครั้งนี้ ช่วยให้ธนาคารกรุงเทพขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มอีกกว่า 4 ล้านราย ผ่านสาขา 312 แห่งใน 62 เมืองทั่วประเทศอินโดนีเซีย เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารได้มากกว่า 13.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.5 แสนล้านบาทในช่วงไตรมาสแรก

 

“โดยปกติเราเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ” ชาติศิริ โสภณพนิช วัย 62 ปี ผู้รั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ กล่าวกับนิตยสาร Forbes “เราไม่ได้เติบโตจากการเข้าครอบครอง” ทว่าโอกาสในอินโดนีเซียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในโลกนั้นดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไปได้

 

ชาติศิริขยายความว่า การรุกสู่ตลาดอินโดนีเซียที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียนจะช่วยเสริมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธนาคาร เพราะมีการเติบโตที่เเข็งเเกร่งกว่าเมืองไทยมาก ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้จะส่งผลให้สัดส่วนของสินเชื่อในตลาดต่างประเทศต่อสินเชื่อรวมของธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นกว่า 24%

 

การหนีร้อนไปพึ่งเย็นภายใต้การวางหมากของทายาทรุ่นที่ 3 ของธนาคารกรุงเทพในครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่ธนาคารต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไทยอย่างต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำเกินจะเยียวยา 

 

ตลอดจนการระบาดของโควิดที่ฉุดภาคการท่องเที่ยว ช่องทำเงินหลักของประเทศให้ล้มไม่เป็นท่า ประกอบกับเจอแรงกระเเทกของการระบาดรอบที่ 3 มาบั่นทอนความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

ปัญหาข้างต้นมีผลต่อการปรับลดดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหลายธนาคารใหญ่ในประเทศ เห็นได้จากกำไรสุทธิต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ของธนาคารหลายเจ้า ในปี 2020 รวมถึงธนาคารกรุงเทพด้วย ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.72 หมื่นล้านบาท ลดลงไปกว่า 50% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกัน  

 

จากการจัดอันดับของ Forbes’ Global 2000 ปี 2021 ธนาคารกรุงเทพจัดอยู่ในธนาคารขนาดใหญ่อันดับที่ 6 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม แต่อยู่ในอันดับที่ 14 เมื่อพิจารณาจากกำไรสุทธิ 

 

การรุกตลาดนอกบ้านเกิดนี้ มีหลายปัจจัยที่ชี้ว่าอินโดนีเซียคือคำตอบที่ใช่ เพราะมีประชากรกว่า 276 ล้านคน มี GDP มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 33 ล้านล้านบาท มากกว่าไทยถึง 2 เท่า ประกอบกับจำนวนผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมีเพิ่มมากขึ้น และความต้องการทางด้านการเงินมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะยาว

 

สอดคล้องกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ที่คาดการณ์ว่า ปีนี้ GDP ของไทยจะเติบโตประมาณ 3% และอินโดนีเซีย ประมาณ 4.5% ซึ่งชาติศิริให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะโตแบบก้าวกระโดดในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภาคการผลิต ภาคบริการ และการบริโภคภายในประเทศอย่างแน่นอน

 

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพประเมินว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อในตลาดต่างประเทศจะเติบโตที่ 3-4% ในปีนี้ หลังหันไปเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจระดับขนาดใหญ่และนักลงทุนจากแดนมังกรมากขึ้น 

 

ตัวเลขรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท ดันเพิ่มไปถึง 8% ในปีที่ผ่านมา บ่งบอกถึงอนาคตที่สดใสของการควบรวมกิจการในครั้งนี้ นั่นทำให้ชาติศิริเดินหน้าตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการอัดฉีดเงินทุนให้กับธนาคารเพอร์มาตาเข้าไปอีกกว่า 744 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.2 หมื่นล้านบาท 

 

ขณะเดียวกันหากย้อนมาดูประเทศไทย การฟื้นตัวของภาคการส่งออกในตลาดโลก ส่งผลให้กว่า 1ใน 3 ของสินเชื่อธนาคารถูกปล่อยให้กับฝั่งผู้ผลิต และ 25% ถูกปล่อยให้กับบรรดา SMEs

 

โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 3.7% จากที่ปีก่อนหน้าอยู่ที่ 3.9% และมีกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ลดลงประมาณ 10% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าในไตรมาสเดียวกัน  

 

นับตั้งเเต่ปี 1994 ที่นั่งตำเเหน่งหัวเรือใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ ชาติศิริต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคความท้าทายทางเศรษฐกิจน้อยใหญ่มานับไม่ถ้วน ทั้งวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 1997 และวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) ในปี 2007-2009 แต่ด้วยความสามารถในการบริหารของดีกรีนักการเงินระดับประเทศ ทำให้เขานำพาธนาคารผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้ในที่สุด 

 

ทว่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ธนาคารกรุงเทพต้องเผชิญกับแบบทดสอบใหม่อีกครั้ง เมื่อเกิดการแข่งขันที่ร้อนเเรงในตลาดดิจิทัลแบงกิ้งซึ่งมีคู่แข่งเจ้าใหญ่อย่าง ‘ธนาคารกสิกรไทย’ และ ‘ธนาคารไทยพาณิชย์’ 

 

ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด เป็นปัจจัย ‘เร่ง’ ให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้บริการทางการเงินหันไปพึ่งทางออนไลน์มากขึ้น นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่เดิมพันกันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หากเจ้าไหนปรับตัวไม่ทันมีหวังหล่นตำแหน่งได้ง่ายๆ เลย

 

อย่างไรก็ดีชาติศิริซึ่งรั้งอันดับที่ 32 จาก 50 ทำเนียบมหาเศรษฐีไทยในปีนี้ด้วยมูลค่าสุทธิ 1.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.7 หมื่นล้านบาท กล่าวย้ำว่าธนาคารกรุงเทพพร้อมเดินหน้าพัฒนาระบบ IT เพื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว 

 

ถึงจุดนี้ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่าทายาทรุ่นที่ 3 คนนี้ จะนำพา ‘ธนาคารกรุงเทพ’ ก้าวผ่านสนามแข่งขันอันดุเดือดนี้ไปได้อย่างไร 

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising