บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP เผย อยู่ระหว่างเจรจาต่อราคาซื้อหุ้น ESSO มองราคา 5 หมื่นล้านบาทแพงเกินไป ฟาก ExxonMobil พร้อมขาย เหตุต้องการปรับกลยุทธ์หันไปลงทุนเน้นธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม คาดปิดดีลเร็วๆ นี้
จากการตรวจสอบข้อมูลจากคณะกรรมการ (บอร์ด) ของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP จำนวน 2 ราย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ให้ข้อมูลยืนยันตรงกันว่า ในวันนี้ (9 มกราคม) บอร์ดของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น ยังไม่ได้มีการนัดประชุมเพื่อพิจารณาวาระการเข้าซื้อกิจการของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO ตามกระแสข่าวที่ออกมา และยังขอปฏิเสธที่จะให้ความเห็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง
- สะพัด ‘บางจาก’ ทุ่ม 5 หมื่นล้านบาท ปิดดีลเทกโอเวอร์ ESSO จ่อชงบอร์ด 9 ม.ค. 66 ต่อยอดธุรกิจ Jet Fuel ปูทางขายน้ำมันเข้าสนามบินทั่วประเทศ
- ‘บางจาก’ สยายปีกสู่พลังงานต้นน้ำ เล็งลงทุนธุรกิจสำรวจและขุดเจาะน้ำมันในยุโรปเหนือเพิ่ม รับมือวิกฤตพลังงานขาดแคลน
- ‘กลุ่มบางจาก’ ทุ่มหมื่นล้านบาทขยายไลน์สู่น้ำมันอากาศยาน จับมือ ‘ธนโชคฯ’ แปรรูปน้ำมันใช้แล้วเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงรายแรกในไทย
ด้านแหล่งข่าวจากธุรกิจพลังงาน ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่าดีลที่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น เข้าซื้อกิจการของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) จากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ExxonMobil ก็พร้อมที่จะขายหุ้นที่ถือในสัดส่วน 66% ออกมา โดยบอร์ดของ BCP ได้รับทราบไปแล้วตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ส่วนราคาซื้อขายอยู่ที่การตกลงของทั้ง 2 ฝ่าย โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจา
สำหรับสาเหตุที่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น ต้องการซื้อกิจการโรงกลั่นน้ำมันของ ESSO เพื่อต้องการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เพราะที่ตั้งปัจจุบันของโรงกลั่นของ BCP มีความเสี่ยงในหลายด้านที่ต้องจัดการ ได้แก่
- ทำเลที่ตั้งของโรงกลั่นบางจากที่ตั้งในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร มีความเสี่ยงที่สูงในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และความเสี่ยงหากเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ซึ่งจะมีผลกระทบค่อนข้างมากกับชุมชมที่อยู่ใกล้เคียง
- ทำเลที่ตั้งของโรงกลั่นบางจากที่ตั้งในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่เช่าระยะยาว จึงมีความเสี่ยงหากไม่ได้รับการต่อสัญญา
นอกจากนี้ BCP ยังมองโอกาสในการขยายเข้าไปสู่ธุรกิจค้าปลีก คือสถานีบริการน้ำมันด้วย เพราะการซื้อ ESSO จะช่วยให้ได้สถานีบริการน้ำมันเพิ่มเข้ามาด้วยอีกประมาณ 800 แห่ง จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1,300 แห่ง
“ดีลนี้บอร์ดของบางจากรับทราบไปแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการคุยกับระดับบริหาร ซึ่งอำนาจต่อรองดีลซื้อขาย ESSO อยู่ที่ฝั่งคนขายคือ ExxonMobil เพราะมองว่า BCP มีความจำเป็นต้องย้ายโลเคชันของที่ตั้งโรงกลั่นน้ำมันใหม่ เนื่องจากทำเลปัจจุบันของโรงกลั่นบางจากตอนนี้ค่อนข้างเสี่ยง อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และยังเป็นพื้นที่เช่าด้วย อีกทั้งการซื้อ ESSO ยังได้ธุรกิจปั๊มน้ำมันเข้ามาด้วย ถือว่าครบ เพราะ BCP ก็มุ่งเน้นที่จะเข้าไปในธุรกิจรีเทลอยู่แล้ว แต่บางจากก็พยายามต่อรองราคา เพราะการซื้อดีลนี้จะมีหนี้ก้อนใหญ่ของ ESSO ที่จะเป็นภาระติดมาด้วย สูงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่ดีลนี้ปิดได้แน่นอน เพราะฝั่งซื้ออยากซื้อ ฝั่งขายก็อยากขาย เหลือแค่ตกลงเรื่องราคา น่าจะประกาศได้เร็วๆ นี้”
สำหรับดีลนี้หากดูที่มูลค่าสุทธิของกิจการ (Enterprise Value) บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) หลังจากหักหนี้ที่มีประมาณ 3 หมื่นล้านบาทของ ESSO ราคาหุ้น ESSO ควรจะอยู่ที่ระดับ 9-10 บาทต่อหุ้น แต่คำนวณบนมูลค่าเฉพาะมาร์เก็ตแคปของ ESSO ราคาซื้อขายจะอยู่ที่ประมาณ 14 บาทต่อหุ้น ดังนั้นประเมินว่ามูลค่าราคาซื้อขายของดีลนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ 3.15-5 หมื่นล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับการตกลงและความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
อย่างไรก็ดี เหตุที่ ExxonMobil ต้องการขายกิจการของ ESSO เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของกลุ่ม ExxonMobil ที่มีการปรับแผนธุรกิจ มุ่งหันไปขยายการลงทุนสู่ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจโรงกลั่นในประเทศไทยของ ExxonMobil เป็นโรงกลั่นที่เก่า ลงทุนมานานตั้งแต่ปี 2510 มีกำลังการผลิต 1.74 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นขนาดกำลังผลิตที่ไม่มากและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจในปัจจุบัน
ขณะที่แหล่งข่าวที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ต่างประเทศ กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่าดีลการซื้อขาย ESSO ระหว่าง BCP กับ ExxonMobil มีการบรรลุข้อตกลงในหลักการเพื่อซื้อขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ดีลนี้ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพราะถือเป็นดีลที่มีความซับซ้อนสูง อีกทั้ง ESSO มีพนักงานจำนวนมากถึง 2,000-3,000 คน
“ดีลของ BCP ที่จะซื้อ ESSO จาก ExxonMobil มีการคุยเจรจากันมาก่อนหน้านี้นานแล้ว ก่อนที่จะมีข่าวรั่วออกมา ซึ่งตอนนี้ตกลงซื้อขายกันได้แล้ว อยู่ที่ราคาว่าจะตกลงกันได้เท่าไร”