×

เตรียมรับมือ! SCB FM มอง เงินบาทจ่อแข็งค่าในระยะกลาง-ยาว

02.10.2024
  • LOADING...

แม้เงินบาทจะแข็งค่าเร็วที่สุดในภูมิภาค แต่ในระยะต่อไป SCB FM มองว่า เงินบาทอาจอ่อนค่า (Correction) ในช่วงหนึ่งเดือนจากนี้ ก่อนที่จะกลับสู่เทรนด์แข็งค่าในระยะกลาง-ยาว เนื่องจาก Fed กำลังเริ่มวงจรลดดอกเบี้ย และการเลือกตั้งสหรัฐฯ จ่อฉุดดอลลาร์อ่อน คาดกรอบเงินบาทอยู่ที่ 32.00-32.50 ปลายปีนี้

 

วันนี้ (2 ตุลาคม) กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า ในระยะต่อไปเงินบาทจะยังผันผวนสูง โดยต้องจับตาการลดดอกเบี้ยของ Fed, สงครามในตะวันออกกลาง และการสื่อสารของการสื่อสารของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งอาจทำให้บาทมี Correction ในระยะสั้น จึงมองเงินบาทโดยเฉลี่ยอาจอยู่ในกรอบราว 32.45-32.95 ในช่วงหนึ่งเดือนจากนี้

 

รวมปัจจัยดันเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้

 

แพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นถึงเกือบ 5% ซึ่งแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค โดยเป็นผลจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย 50 bps ในการประชุมเดือนกันยายน โดยตลาดมองว่า การลดดอกเบี้ยในครั้งนี้เป็นการลดเพื่อให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะไม่เกิดภาวะถดถอย (Insurance Cut) จึงทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดปรับดีขึ้น (Risk-on Sentiment) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Yield) ลดลง เงินดอลลาร์อ่อนค่า และสกุลเงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้น 

 

นอกจากนี้ราคาทองคำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยราคาทองคำปรับสูงขึ้นต่อเนื่องและทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากทั้งอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินที่ลดลง อุปสงค์ต่อทองคำจากทั้ง ETF, Hedge Fund และธนาคารกลางที่สูงขึ้น ซึ่งราคาทองคำมีความสัมพันธ์กับเงินบาทสูง จึงทำให้บาทแข็งค่าเร็วกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค

 

ยังมีปัจจัยที่ตลาดไม่ได้คาดคิด ซึ่งเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อสกุลเงินภูมิภาค และทำให้เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าที่คาดไว้คือ การออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและการเลือกหัวหน้าพรรค Liberal Democratic Party (LDP) ของญี่ปุ่น โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) และกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Politburo) ได้แถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย (Reverse Repo และ 1-Year MLF) เพิ่มสภาพคล่องเข้าตลาดหุ้น (อย่างน้อย 5 แสนล้าน) อัดฉีดเงินให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกระตุ้นการบริโภคเอกชนผ่านการปล่อยกู้ 

 

ส่งผลให้เงินหยวนกลับมาแข็งค่าเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมดัชนีตลาดหุ้นจีนที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเชื่อมั่นที่สูงนี้ทำให้เกิด Risk-on ในตลาดเอเชีย และดันให้เงินบาทแข็งค่าตามเงินหยวน 

 

นอกจากนี้การเลือกหัวหน้าพรรค LDP ของญี่ปุ่น ก็ออกมาเหนือความคาดหมาย โดย ชิเงรุ อิชิบะ ที่ได้รับเลือก มีนโยบายสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น จึงทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเร็ว กดดันให้เงินบาทแข็งค่าตาม

 

เตรียมรับมือ! ในระยะสั้นบาทจ่อผันผวนสูง

 

วชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า ในระยะสั้นนี้เงินบาทจะยังผันผวนสูง โดยมีปัจจัยจากทั้งการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed, สงครามในตะวันออกกลาง รวมถึงโอกาสการลดดอกเบี้ยของ กนง. 

 

“สำหรับปัจจัยสุดท้ายที่จะส่งผลต่อความผันผวนเงินบาทในระยะสั้นคือ โอกาสในการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ซึ่ง ณ ขณะนี้ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้งปลายปี แต่หาก กนง. ยังสื่อสารไปในทางที่อาจจะไม่ลดดอกเบี้ย (Hawkish) ก็อาจเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเงินบาทเพิ่มเติมได้ คาดว่าในระยะสั้นเงินบาทโดยเฉลี่ยอาจอยู่ในกรอบราว 32.45-32.95 โดยหากเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับราว 32.65-32.95 จะเป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกพิจารณาขายเงินดอลลาร์ออกได้ และหากเงินบาทแข็งค่าไปที่ระดับราว 32.20-32.50 จะเป็นจังหวะให้ผู้นำเข้าพิจารณาซื้อเงินดอลลาร์เพิ่มได้” วชิรวัฒน์กล่าว

 

บาทจ่อกลับสู่เทรนด์แข็งค่าในระยะกลาง-ยาว

 

สำหรับในระยะกลางถึงยาว วชิรวัฒน์ยังมองด้วยว่า เงินบาทอาจยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดยมองกรอบปลายปีที่ราว 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของ Fed จะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าได้

 

“จากการศึกษาวัฏจักรการลดดอกเบี้ยของ Fed พบว่า 3 ใน 4 ครั้งล่าสุด เงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง ราคาทองคำปรับสูงขึ้น และเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นภายในหนึ่งเดือนหลัง Fed ลดดอกเบี้ยครั้งแรก ซึ่งคาดว่าวัฏจักรการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ก็จะทำให้เกิดภาวะ Risk-on และทำให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดกำลังพัฒนา (Emerging Markets: EMs) รวมถึงไทย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าต่อได้” วชิรวัฒน์กล่าว

 

โดยในเดือนกันยายนพบว่า มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 2.9 หมื่นล้านบาท และไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาล 1 หมื่นล้านบาท ทำให้รวมทั้งปีมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย 9.5 หมื่นล้านบาท และไหลออกจากตลาดพันธบัตรรัฐบาล 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นโมเมนตัมที่ดีขึ้นจากปีก่อนที่เงินไหลออกรวมกันถึง 3.4 แสนล้านบาท

 

นอกจากนี้การเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง กดดันให้บาทแข็งค่าต่อได้เช่นกัน 

 

ทั้งนี้ คาดว่าหาก คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดการปรับสัดส่วนสินทรัพย์ของนักลงทุน (Unwind Trump Trade) และความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าที่ลดลงจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงด้วย 

 

ส่วนการแข็งค่าของเงินหยวนในระยะต่อไปน่าจะมีจำกัด ทำให้แรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเงินบาทอาจมีน้อยลง คาดกรอบเงินบาท 32.00-32.50 ปลายปีนี้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising