×

11 นัด เก็บได้ 28 แต้ม หรือนี่คือสัญญาณบอกว่า อาร์เซนอลพร้อมแล้วสำหรับการยึดท็อปโฟร์อีกครั้ง?

14.03.2022
  • LOADING...
11 นัด เก็บได้ 28 แต้ม หรือนี่คือสัญญาณบอกว่า อาร์เซนอลพร้อมแล้วสำหรับการยึดท็อปโฟร์อีกครั้ง?

HIGHLIGHTS

4 mins. read
  • ใน 11 เกมหลังสุด อาร์เซนอลเก็บชัยชนะได้ถึง 9 นัด เสมอและแพ้อีกอย่างละ 1 นัด เก็บได้ถึง 28 จาก 33 คะแนน โดยที่ยิงได้มากถึง 25 ประตู และเสียเพียงแค่ 7 ลูก ในจำนวนนี้เป็นการเก็บคลีนชีตได้ถึง 6 นัด
  • เวลานี้อาร์เซนอลเต็มไปด้วยสตาร์แห่งอนาคตไม่ว่าจะเป็น คีแรน เทียร์นีย์, กาเบรียล มาร์กัลเญส, เบน ไวท์, ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ,​ โธมัส ปาร์เตย์, อารอน แรมส์เดล, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, บูกาโย ซากา และ มาร์ติน โอเดการ์ด
  • เกมพรีเมียร์ลีกนัดต่อไปที่จะพบกับลิเวอร์พูลจะเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมของ มิเกล อาร์เตตา ว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนเมื่อเจอทีมที่ดีที่สุดของประเทศ

หากใครมีเพื่อนเป็นชาวกูนเนอร์ส เวลานี้ก็จะเห็นว่าพวกเขาอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ

 

จากชัยชนะเหนือเลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เมื่อคืนนี้ ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นอีกหนึ่งทีมที่ชนะรวดในพรีเมียร์ลีก 5 นัดหลังสุดนอกเหนือจากลิเวอร์พูลและเชลซี และทำให้เวลานี้พวกเขากลับมามีความหวังสำหรับการลุ้นไป #UCL อีกครั้งอย่างเต็มเปี่ยม

 

โดยจากตารางคะแนนแล้ว อาร์เซนอลอยู่ที่ 4 มี 51 คะแนน นำหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ 1 คะแนน แต่ลงแข่งน้อยกว่าถึง 3 นัดด้วยกัน และยังลงแข่งน้อยกว่าทีมอันดับ 6-7-8 อย่างเวสต์แฮม ยูไนเต็ด, วูล์ฟส์ และท็อตแนม ฮอตสเปอร์ด้วย

 

หากเก็บชัยชนะเกมในมือได้ครบ 2 นัด พวกเขาจะมี 57 คะแนน หายใจรดต้นคอเชลซีซึ่งอยู่อันดับที่ 3 มี 59 คะแนนทันที

 

อย่างไรก็ดี ในอีกด้านของความรู้สึกแล้วย่อมไม่ผิดหากแฟนๆ จะมีความรู้สึกกังวลอยู่บ้างว่าสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่นั้นเป็นความจริงหรือภาพลวงตา?

 

 

 

มากกว่าชัยชนะคือความสม่ำเสมอ

นอกจากตารางคะแนนที่ไม่เคยโกหกใครแล้ว ตัวเลขสถิติผลงานย้อนหลังก็เช่นกัน

 

อย่างที่เรียนไปข้างต้นว่า อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 3 ทีมที่ชนะรวดใน 5 นัดหลังสุด ที่แม้แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ทำไม่ได้ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เพิ่งจะทำผลงานได้ดีในตอนนี้

 

เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เคยชนะรวดมา 4 นัดเช่นกัน ก่อนที่จะมีอาการสะดุด 2 เกมด้วยการแพ้และเสมอต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเบิร์นลีย์

 

นั่นหมายถึงใน 11 เกมหลังสุดอาร์เซนอลเก็บชัยชนะได้ถึง 9 นัด เสมอและแพ้อีกอย่างละ 1 นัด เก็บได้ถึง 28 จาก 33 คะแนน โดยที่ยิงได้มากถึง 25 ประตู และเสียเพียงแค่ 7 ลูก ในจำนวนนี้เป็นการเก็บคลีนชีตได้ถึง 6 นัด

 

หรือหากจะคิดแค่ 10 นัดหลังสุด พวกเขาจะเก็บได้ 25 คะแนนเท่ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล สองทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานี้เลยทีเดียว

 

สิ่งนี้เป็นเครื่องบ่งบอกให้เห็นถึงเรื่องของความสม่ำเสมอในการเล่นที่ทีมของ มิเกล อาร์เตตา เริ่มค้นพบอีกครั้ง โดยในวันที่ดีการเก็บชัยชนะได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในวันที่เล่นไม่ดีเหมือนในเกมที่ชนะวัตฟอร์ด 3-2 หรือเฉือนวูล์ฟส์ 1-0 ยังเก็บชัยชนะได้นั้นแสดงให้เห็นถึง ‘ความแกร่ง’ ของทีมที่เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

เรื่องนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่มีขายในตลาดนักเตะ แต่ทีมจะได้มาผ่านการเรียนรู้ในสนามจริงเท่านั้น

 

 

 

จากทีมแห่งอนาคตสู่ทีมแห่งปัจจุบัน

นับตั้งแต่สละเรือใบเพื่อกลับมารับงานกับสโมสรเก่าอย่างอาร์เซนอล สิ่งที่กุนซือชาวสเปนพยายามทำมาโดยตลอดคือ การวางรากฐานและแนวทางให้ทีมสำหรับการเป็นทีมแห่งอนาคต

 

อาร์เซนอลในยุคของ ‘อาร์ต’ เป็นทีมที่ไม่ได้ถึงกับเน้นความสวยงาม ไม่ได้รุกบุกแหลก และก็ไม่ได้ตั้งรับเหมือนสมัยของ จอร์จ เกรแฮม แต่เป็นทีมที่มีความยืดหยุ่นสูง ปรับแท็กติกการเล่นได้หลากหลาย เก่งทั้งในเรื่องเกมเพรสซิงและเคาน์เตอร์เพรสซิง

 

เพียงแต่เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นมีราคาที่ต้องจ่าย โดยเฉพาะการพยายามทำให้ลูกทีมเชื่อว่ามันคือแนวทางที่ถูกต้องและได้ผล

 

ในขณะเดียวกันอาร์เตตาร่วมมือกับเอดู อดีตมิดฟิลด์ยุคทองที่กลับมารับบทผู้อำนวยการสโมสรที่เป็นคนฟุตบอลจริงจังเป็นคนแรก ช่วยกันวาง Blueprint ของอาร์เซนอลในอนาคตว่าควรจะเล่นฟุตบอลแบบไหน และนักฟุตบอลแบบไหนที่ควรจะได้อยู่ในทีม

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งอาร์เตตาและเอดูพยายามแก้ปัญหาภายในทีมมาโดยตลอด เติมนักเตะที่เหมาะสมกับทีมในระยะยาวเข้ามาหลายคน จนทำให้เวลานี้อาร์เซนอลเต็มไปด้วยสตาร์แห่งอนาคตไม่ว่าจะเป็น คีแรน เทียร์นีย์, กาเบรียล มาร์กัลเญส, เบน ไวท์, ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ,​ โธมัส ปาร์เตย์, อารอน แรมส์เดล และนักเตะที่เอดูภูมิใจที่สุดอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี ซึ่งเป็นคนแรกๆ ที่พยายามดึงตัวมาร่วมทีมทันทีหลังรับตำแหน่ง

 

ไม่นับ บูกาโย ซากา ซึ่งเป็นสายเลือดของสโมสร

 

คนสุดท้ายที่เข้ามาเติมเต็มทีมให้ทุกอย่างลงตัวคือ มาร์ติน โอเดการ์ด อดีตมิดฟิลด์ดาวรุ่งอัจฉริยะที่เกือบจะหมดอนาคตในทีมเรอัล มาดริด ซึ่งสุดท้ายได้โอกาสในการย้ายมาอยู่กับอาร์เซนอลอย่างถาวร และเวลานี้ดาวเตะทีมชาตินอร์เวย์ก็แสดงให้เห็นถึงระดับชั้นของฝีเท้าที่สูงส่ง กลายเป็นคนที่สร้างความแตกต่างให้กับทีมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

 

สิ่งที่ดีและมีความหมายที่สุดคือ การที่อาร์เตตาทำให้ทีมเหล่านี้เล่นร่วมกันได้อย่างลงตัว ระหว่างกลุ่มคนรุ่นใหม่กับพี่ใหญ่อย่าง อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์, กรานิต ชากา และคนอื่นๆ รวมถึงจัดการเด็ดขาดในการตัดตัวปัญหาอย่าง ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง ออกจากทีม

 

จากทีมแห่งอนาคต อาร์เซนอลกำลังกลายเป็นทีมแห่งปัจจุบันที่มองเห็นความหวังเรืองรองขึ้นมาจริงๆ

 

หากมองไปที่ดวงตาของนักเตะกันเนอร์ส เราจะเห็นว่าแววตาของพวกเขากำลังเปล่งประกาย

 

 

บททดสอบใหญ่กับลิเวอร์พูล

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะทำได้ดีขนาดไหน สิ่งที่อาร์เตตาและลูกทีมของเขายัง ‘สอบไม่ผ่าน’ ในช่วงก่อนหน้านี้คือ การเผชิญหน้ากับทีมระดับท็อปของประเทศอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือลิเวอร์พูล

 

อาจมีบ้างที่เก็บผลงานได้ แต่ไม่มีสักครั้งที่จะได้ลองยืนประหมัดกันอย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยความที่ทั้งตัวขุนพลผู้เล่น ระบบ และทีมเวิร์กยังเป็นรอง

 

แต่จากฟอร์มที่ผ่านมา ความมั่นใจที่ไต่ระดับขึ้นถึงขีดสุดอีกครั้ง เกมพรีเมียร์ลีกนัดต่อไปที่จะพบกับลิเวอร์พูล ซึ่งต้องการชัยชนะทุกนัดเพื่อเบียดลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปตลอดทางจนจบฤดูกาลนี้ จะเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมของอาร์เตตา

 

จริงอยู่ที่ฤดูกาลนี้กันเนอร์สเจอลิเวอร์พูลมาแล้ว 3 หน และยังไม่ชนะเลยสักหน โดยเกมพรีเมียร์ลีกช่วงต้นฤดูกาลก็โดนต้อนขาดลอย 4-0 และล่าสุดคือเกมลีกคัพรอบรองชนะเลิศนัดที่ 2 เมื่อเดือนมกราคม ซึ่งแพ้คาเอมิเรตส์สเตเดียม แต่ครั้นจะบอกให้พวกเขาไม่คาดหวังถึงชัยชนะก็ทำไม่ได้

 

นี่คือโอกาสดีที่สุดที่จะได้ทดสอบตัวเองโดยที่ไม่อยู่ใต้แรงกดดันด้วย เพราะสถานการณ์ในการชิงพื้นที่ท็อปโฟร์นั้นยังมีความได้เปรียบคู่แข่ง

 

ลองเพื่อจะได้รู้ว่าในวันที่ดีที่สุด เกือบฟูลทีมที่สุด ในเกมที่มีความหมายแบบนี้ ระยะห่างระหว่างพวกเขากับทีมที่ดีที่สุดของประเทศอยู่ตรงไหน

 

โดยที่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรให้น่าเสียใจ เพราะอย่างไรเสียวันนี้อาร์เซนอลสามารถกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้อีกครั้ง


สำหรับกูนเนอร์สที่บอบช้ำมานานหลายปี การได้เห็นทีมทำได้ดีขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising