วันนี้ (23 มิถุนายน) ที่กระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีเตียงรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า แต่ละหน่วยงานมีบทบาทการดูแลรับผิดชอบที่ชัดเจน อย่างใน กทม. ได้รับหน้าที่ให้จัดการพื้นที่ของตนเอง ส่วนกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ให้การสนับสนุน ซึ่งได้ทำอย่างเต็มที่อยู่เสมอ อาทิ การให้โรงพยาบาลบุษราคัมเข้ามาแบ่งเบางานหนัก ที่นี่ได้รับผู้ป่วยต่างชาติระดับสีเหลืองแล้ว และสิ่งที่ สธ. กำลังเร่งดำเนินการคือจะต้องเปิดเตียงและห้อง ICU โรงพยาบาลหลักให้มากที่สุด
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดในการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสนามให้ใกล้เคียงกับที่โรงพยาบาลบุษราคัมมี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยที่แสดงอาการในระดับเกณฑ์สีเหลือง ซึ่งจะช่วยลดอัตราการสูญเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นยังต้องพัฒนาเรื่องศูนย์แรกรับ จากที่ปัจจุบันได้จัดตั้งศูนย์แรกรับส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาคารนิมิบุตร ที่ผ่านมาปฏิบัติงานได้ผลน่าพอใจ ก็อาจจะต้องเพิ่มเติม 1 แห่ง เช่น อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเหลืองด้วย สำหรับบุคลากรทางการแพทย์มีแผนว่าจะสับเปลี่ยนจากจังหวัดต่างๆ เข้ามาในพื้นที่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พบผู้ติดเชื้อซึ่งเป็นกลุ่มลักลอบเข้าเมือง สธ. มีแผนจะเข้าไปดูแลปัญหาอย่างไร อนุทินกล่าวว่า เมื่อติดเชื้อเข้ามาก็ต้องรักษาตามหลักมนุษยธรรม ส่วนการป้องกันปราบปรามกลุ่มลอบเข้าเมืองนั้น ทางรัฐบาล และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามเรื่องการลักลอบจ้างแรงงานผิดกฎหมายมาโดยตลอด เมื่อมีการลักลอบจ้างแรงงาน ก็เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
อนุทินยังได้อธิบายถึงปัญหาการนำเข้าวัคซีนยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งถูกสื่อมวลชนชื่อดังตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปอย่างล่าช้าว่า วัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนทางเลือกที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว กรณีนี้หากเอกชนต้องการซื้อ แต่ผู้ผลิตไม่ยอมขายให้เอกชน เพราะต้องการจำหน่ายให้รัฐเท่านั้น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ก็พร้อมเป็นสะพานเชื่อมให้ แต่ทางผู้ผลิตต้องยืนยันตัวเลขการจัดหาและปฏิบัติไปตามขั้นตอน
“สำหรับวัคซีน Pfizer รัฐบาลได้สั่งซื้อจำนวน 20 ล้านโดส และได้ลงนามในเทอมชีตร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ล่าสุดบริษัทแจ้งว่าสามารถส่งวัคซีนให้เราได้ในไตรมาส 4 ทั้งนี้ ยอดการสั่งซื้อ 20 ล้านโดส เป็นยอดที่บริษัทแจ้งว่าจะสามารถจัดสรรให้ประเทศไทยได้ภายในปีนี้ เพราะวัคซีนยังเป็นสิ่งที่ทั่วโลกมีความต้องการสูง และได้พยายามเจรจาเพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์มากที่สุด” อนุทินกล่าว
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล