×

วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 20)

05.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read

คำนำ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์อภิวัฒน์สยามในปีพุทธศักราช 2475 นั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งในประเทศของเรา การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นส่งผลกระทบถึงสังคมส่วนใหญ่และปัจเจกชนส่วนย่อยจำนวนมาก เรื่องราวของผู้ที่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการอภิวัฒน์ครั้งนั้นมีบันทึกไว้มากมาย แต่ละบุคคลล้วนผิดแผกแตกต่างกันไป

 

ชีวิตของผู้คนนั้นเป็นแกนกลางของนวนิยายอยู่เสมอ โดยเฉพาะนวนิยายประวัติศาสตร์ ดังนั้นการหยิบยกชีวิตของบุคคลที่เคยอยู่ในตำแหน่งที่สูงเด่น หากแต่ต้องผกผันอย่างคาดไม่ถึงมาเล่าใหม่ในครั้งนี้ แม้จะมีความจริงแฝงอยู่หลายประการ แต่การพ้องเคียงกับชีวิตของบุคคลใดก็ตามเป็นเพียงจินตนาการโดยสมบูรณ์ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว

 

อนุสรณ์ ติปยานนท์

บทที่ยี่สิบ

รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด มาถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น แทบจะในทันทีที่ผู้พันมาร์ติเนซขึ้นรถตรวจการณ์ออกไปจากกองร้อยของเรา รถซีตรอง II สีดำใหม่เอี่ยมอ่องก็แล่นเข้ามา ตัวถังรถเป็นมันวาบ แวววาวราวกระจก ในขณะที่กระจกกันลมและกระจกข้างใสแจ่มราวกับถูกขัดทุกซอกทุกมุมด้วยแปรงสีฟัน ยางล้อของรถสีดำขลับราวกับเพิ่งถูกหลอมออกจากต้นยางพารา เศษฝุ่นผงจากท้องถนนทำความหม่นหมองให้มันแต่เพียงน้อย หากไม่เห็นด้วยตาว่ารถคันนั้นเลี้ยวแล่นมาจากทางใด ข้าพเจ้าคงเชื่อว่ามันถูกส่งตรงมาจากโรงงาน ลอยผ่านน่านฟ้ามา และหล่นลงที่เบื้องหน้าของพวกเรา

 

พนักงานขับรถจอดรถลงตรงแถวทหาร รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด เปิดประตูข้างแล้วก้าวเดินมาหาพวกเราอย่างช้าๆ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ราวหกฟุต ผมสีทองอร่าม เครื่องแบบทหารของเขาสะอาดเอี่ยม แตกต่างจากอาภรณ์ขมุกขมัวของพวกเรา เขายกมือแตะกระบังหมวก แสดงอาการทักทาย และก่อนที่นายทหารประจำแตรวงจะเป่าแตรแสดงความเคารพ เขาก็เอ่ยตัดบทขึ้นว่า “เว้นพิธีกรรมเหลือเฟือเหล่านั้นสักทีเถิด ผมเบื่ออะไรทำนองนี้มาก พวกคุณรู้ไหมว่ามีพลแตรมากมายเพียงใดที่ถูกกระสุนทะลวงลำคอในขณะที่ทำอะไรโง่เง่าแบบนั้น เราอยู่ในช่วงสงคราม ไม่ใช่ในช่วงแห่งการแสดงอุปรากร”

 

พลแตรลดแตรของเขาลง พวกเราในท่าพักชิดเท้า ตั้งแถวตรง รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด สัมผัสมือพวกเราทุกคนจนครบก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ก่อนที่ผมจะประชุมร่วมกับพวกคุณ มีใครในที่นี้ที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า มานูเอล โลเป้ บ้าง ผมใคร่จะพบเขาเหลือเกิน”

 

นายทหารหนุ่มยศร้อยตรีนามมานูเอลวิ่งออกจากแถว ข้าพเจ้าแม้จะไม่คุ้นชินกับเขานักแต่ก็จำเขาได้เป็นอย่างดี มานูเอลเป็นนายทหารหนุ่มจากซาน เซบาสเตียน เขาเป็นนายทหารชาวบาสก์ ครึกครื้นอยู่เป็นนิจ แย้มหัวอยู่เป็นอาจิณ ทุกครั้งที่มีเสียงหัวเราะหัวใคร่จากมุมใดของโรงครัวหรือโรงนอน ข้าพเจ้าจะเห็นมานูเอลอยู่ในเสียงหัวเราะนั้นทุกครั้งไป เขาเป็นนักเล่าเรื่องตลกที่ไม่เคยอ่อนเพลีย เขาเป็นนักยั่วเสียงหัวเราะที่ไม่เคยบรรเทา รูปร่างของมานูเอลดูท้วมไปสักนิดสำหรับทหารกรำศึก แต่พวกเรามักพูดว่านั่นเป็นเพราะกระเพาะอาหารของเขาบรรจุเรื่องสัปโดกสัปดนไว้ในนั้นมาตั้งแต่ยุคกลาง ทุกคนชอบพอมานูเอล แม้จะรู้ดีว่าเขาดูมีลักษณะที่พึ่งพาได้น้อยเต็มทีในสนามรบ โดยเฉพาะในการออกแนวหน้าที่ใกล้จะมาถึงทุกขณะแล้ว

 

รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด เดินตรงเข้ามาหาเขา เอามือโอบไหล่อย่างคนที่สนิทคุ้นเคย “ผู้หมวดนั่นเองหรือที่มีชื่อว่ามานูเอล ยินดีที่ได้รู้จัก ผมอยากจะขอเข้าห้องน้ำสักครู่ ไม่ทราบว่าผู้หมวดจะรับธุระช่วยนำทางให้ผมหน่อยจะได้ไหม”

 

มีความตึงเครียดเกิดขึ้นโดยทันควัน แม้ว่าสีหน้าของรูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด จะแลดูแย้มยิ้มอยู่ก็ตาม ผู้หมวดมานูเอลส่งเสียงพูดตะกุกตะกักเบาๆ ว่า “ทางนี้ ขอรับ” ก่อนจะวิ่งเหยาะไปยังโรงบรรเทาทุกข์ของพวกเรา รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด เดินตามเขาไป โดยที่พนักงานขับรถตามหลังเขาอยู่ห่างๆ ทั้งคู่หายเข้าไปในห้องสุขาห้องหนึ่ง โดยมีพนักงานขับรถยืนเฝ้าประตูห้องนั้น และก่อนที่ใครจะทันคาดเดาสิ่งต่างๆ เสียงปืนก็ดังขึ้นสองครั้ง ข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว แม้ว่าจะเคยได้ยินเสียงปืนมานับครั้งไม่ถ้วนนับแต่การย่างเท้าเข้าสู่ดินแดนสเปนแห่งนี้ แต่เสียงปืนที่ว่าเสมือนดั่งมีมนต์ชั่วร้ายที่นำพาสิ่งอัปมงคลทั้งปวงให้บังเกิดขึ้น ราวห้านาที รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ดเดินออกมาจากห้องสุขาเพียงลำพัง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าส่วนตัวเช็ดเหงื่อตามใบหน้า และจัดแต่งทรงผมให้เข้ารูปก่อนจะบรรจงสวมหมวกสีกากีลงบนเส้นผมสีทอง เขาหยุดอยู่หน้าแถวของเราและเปรยขึ้นว่า “อากาศในห้องนั้นมันร้อนจนทำให้ผมแทบเป็นบ้า แต่ดีที่ผมยังคุมสติอยู่ ส่วนผู้หมวดนั่นดูท่าจะอาการไม่ดีนัก ถึงกับยิงปืนขึ้นฟ้าระบายอากาศทีเดียว”

 

 

พวกเราทุกคนยืนฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยอาการขนลุกขนพอง เป็นที่รู้กันดีว่าแม้ว่าพวกเราทุกคนจะใช้ปืนเป็นก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้ประจำการรบเสียแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะพกอาวุธปืนติดตัว มานูเอลไม่มีทางมีปืน และยิ่งไม่มีทางที่จะยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อผลาญกระสุนอันเป็นของจำเป็นเล่นอย่างแน่นอน

 

“ใครเป็นผู้ดูแลกองร้อยกองนี้ถัดจากผู้กองมาร์ติเนซ” รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ดเอ่ยถาม ริคาร์โด ซันเชซ ผู้หมวดอีกคนวิ่งออกจากแถวไปแสดงตนและตะโกนชื่อและตำแหน่งของตนเองออกไป “ผู้หมวดริคาร์โด คุณช่วยตามไปดูอาการของผู้หมวดมานูเอลให้ทีแล้วมาแจ้งให้ผมทราบ ถ้าอาการวิงเวียนศีรษะของเขายังไม่ดีขึ้น ก็พยุงเขาไปที่เรือนพยาบาลของเรา เรากำลังจะออกสู่แนวหน้าในเร็ววันนี้แล้ว จะปล่อยให้เขาเจ็บป่วยอย่างนี้เห็นจะไม่เข้าที” ร้อยตรีริคาร์โดออกวิ่งไปที่โรงบรรเทาทุกข์ของเราอย่างเร็ว และกลับมาที่แถวทหารภายในเวลาไม่ถึงห้านาที “ผู้หมวดมานูเอลสิ้นใจเสียแล้วครับผู้พัน” รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ดพยักหน้ารับรายงานนั้นด้วยสีหน้าที่เฉยชา “ผมก็คาดเช่นนั้น ไม่ผิดเลย ไม่ผิดเลย” เขากล่าวสั้นๆ ก่อนหันมาทางพวกเรา “ผมขออาสาสมัครสักสามสี่คนช่วยผู้หมวดริคาร์โดจัดการฝังผู้หมวดมานูเอลให้เรียบร้อยด้วย ใครก็ตามที่รู้ว่าผู้หมวดมานูเอลชอบดอกไม้อะไรช่วยเป็นธุระจัดหาให้ผมที หลังเสร็จพิธีแล้วขอเชิญพวกคุณไปพบผมที่โรงอาหาร ผมจะเริ่มต้นบรรยายการจัดทัพของเราให้เสร็จสิ้นแต่วันนี้เลย” กล่าวจบ รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด หันหลังกลับและเดินไปยังรถซีตรอง II คันใหม่เอี่ยมของเขา พลขับขับรถคันนั้นไปยังโรงอาหารประจำกองร้อยของเราและทอดทิ้งทุกคนในที่นั่นให้อยู่กับความงงงัน

 

ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในผู้อาสาเข้าช่วยเหลือผู้หมวดริคาร์โด เมื่อพวกเราเข้าไปในห้องสุขาแห่งนั้น ร่างกายของมานูเอลได้เย็นเฉียบลงแล้ว เลือดที่ไหลออกจากหน้าผากของเขาถึงสองรูนำพาความอบอุ่นจากตัวเขาและชีวิตเขาไปจนหมดสิ้น ถ้าผู้หมวดมานูเอลจะยิงปืนขึ้นฟ้าจริง มันก็เป็นการยิงที่ห่างเป้าไปมาก แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนไม่มีใครเชื่อคำกล่าวเช่นนั้นของรูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความรู้สึกยำเกรงต่อเขาให้เกิดกับเราทุกคน และสำหรับข้าพเจ้าแล้วซึ่งมีบางสิ่งที่ต้องสัมพันธ์กับเขามากกว่าความสัมพันธ์ทางการทหาร ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกที่เหนือกว่าความยำเกรง แต่เป็นความรู้สึกหวาดกลัวแทน

 

เมื่อข้าพเจ้าและทหารนายอื่นไปถึงโรงอาหาร รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ดได้เขียนแผนผังการจัดการกองร้อยของเราบนกระดานดำจนเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนั้นเองที่ข้าพเจ้าคิดถึง ไฮน์ริช เบิล การเดินทางไปถึงอลัน จูเซซ์ ของเขาน่าจะเรียบร้อยดี แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบต่อจากเขานั่นสิจะออกมาในรูปการณ์ใด ข้าพเจ้านั่งลงที่เก้าอี้ยาวแถวหลังสุด ฟังเสียงการอบรมเรื่องการใช้อาวุธของเราให้ทรงประสิทธิภาพที่สุด พร้อมกับคำกำชับเรื่องระเบียบวินัยในการเดินเวรยามและการผลัดเปลี่ยนตำแหน่ง อากาศร้อนยามบ่ายและความอ่อนเพลียจากการต้องขุดดินแข็งแห้งบนเนินเพื่อบรรจุร่างของมานูเอลทำให้ข้าพเจ้าเกือบจะผล็อยหลับลง แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินชื่อของตนเองดังขึ้น “ฟรังซัวส์ อูแบง ทหารฟรังซัวส์ อูแบง อยู่ที่นี่ไหม”

 

ข้าพเจ้าทะลึ่งตัวขึ้นจากม้านั่ง วิ่งตรงไปที่หน้าชั้น รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด ใช้สายตาเย็นชาของเขาจับจ้องข้าพเจ้า “คุณน่ะหรือ ฟรังซัวส์ อูแบง อายุมากไปสักหน่อยสำหรับการจู่โจม แต่ประวัติคุณที่ผมมีนั้น…” เขาพลิกกระดาษที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของข้าพเจ้าไปมา “เชี่ยวชาญภาษายุโรปทั้งฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส ไม่เว้นแม้แต่ภาษาเยอรมัน ดี ดีมากทีเดียว” เขาโยนกระดาษกองนั้นลงที่กลางโต๊ะ ก่อนจะหันไปพูดกับทหารทั้งหลาย

 

“สืบเนื่องจากการจากไปอย่างไม่คาดฝันของผู้หมวดมานูเอล ทำให้ผมต้องจัดหาผู้รับตำแหน่งนั้นแทน ด้วยอำนาจเด็ดขาดของผู้ดูแลกองร้อยแห่งนี้ ผมขอแต่งตั้งฟรังซัวส์ อูแบง ให้ดำรงยศร้อยตรีนับแต่นาทีนี้ และนอกจากหน้าที่ดูแลกองร้อยแล้ว คุณยังมีหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวของผมอีกด้วย ถึงแม้ว่าผมจะมีความรู้ด้านภาษาสเปนแต่มันก็จำกัดเต็มที โล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่มีคนรู้ภาษาเยอรมันในที่นี้ด้วย คุณจะรับเกียรติที่ว่านี้ได้ไหม ร้อยตรีฟรังซัวส์ อูแบง”

 

ข้าพเจ้ายกมือขึ้นแตะกระบังหมวกเบเร่ต์ทำความเคารพ รูดอล์ฟ เบิร์นฮาร์ด ยิ้มให้ข้าพเจ้าอย่างไม่เป็นมิตรแม้ข้าพเจ้าจะเชื่อว่าเขาไม่เคยเป็นมิตรกับใครเลยก็ตาม

 

“ถ้าเช่นนั้นเราคงยุติการประชุมในที่นี้ ร้อยตรีฟรังซัวส์ อูแบง คุณช่วยเก็บเอกสารส่วนตัวของคุณใส่กระเป๋าเอกสารของผม กระเป๋าสีดำใบนั้น แล้วไปรอผมที่รถ เราจะเข้าไปที่ตัวเมืองบาร์เซโลนาในบ่ายวันนี้ ผมขอเบิกอาวุธติดตัวเสียก่อน” ข้าพเจ้าเดินตรงไปที่โต๊ะ หยิบเอกสารที่ว่าใส่ลงในกระเป๋าเอกสารสีดำที่เปิดอยู่ ภายในกระเป๋าเอกสารนั้นนอกจากเอกสารทางการทหารจำนวนมากแล้วยังมีปืนพกลูเกอร์รุ่น P08 แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้นกว่านั้นคือภาพถ่ายขาวดำภาพหนึ่ง มันเป็นภาพของนายพลฟรังโกที่ยืนเคียงข้างกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือท่านฟูเรอร์แห่งเหล่านาซีเยอรมนี มันเป็นภาพที่ขมุกขมัวราวกับถูกแอบถ่ายในระยะไกล แต่บุคคลในภาพนั้นเป็นผู้นำประเทศสเปนและเยอรมนีที่สามารถถูกจดจำได้ทันทีไม่ว่าภาพนั้นจะมีความพร่ามัวอย่างไรก็ตาม   

 

(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 21 เมษายน 2561)

 

ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising