×

วัคซีนโควิด-19 ปลอดภัย แต่ทำไมถึงมีข่าวอาการรุนแรงหลังฉีด

15.03.2021
  • LOADING...
วัคซีนโควิด-19

‘ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี’ ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2563 ที่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก ยังไม่มีใครคิดว่าเราจะมีวัคซีนใช้กันตั้งแต่ต้นปีนี้

 

เพราะปกตินักวิจัยใช้เวลาคิดค้นวัคซีนกันนานมากกว่า 5 ปี และถึงจะลดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนลงครึ่งหนึ่งก็อย่างน้อย 2 ปีอยู่ดี แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน วัคซีนอย่างน้อย 3 บริษัท ได้แก่ Pfizer, Moderna และ AstraZeneca ก็สามารถผลิตวัคซีนจนกระทั่งได้รับการอนุมัติในกรณีฉุกเฉินได้ภายในปีเดียวกันกับการค้นพบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

 

นั่นก็คือ ‘ไม่ถึง 1 ปีเลยด้วยซ้ำ’ แล้วตอนนี้วัคซีนที่คิดค้นได้นั้นทั่วโลกฉีดกันไปได้กี่โดส ประเทศไหนฉีดวัคซีนได้เยอะที่สุด มาลองทายกันดูไหมครับ 

 

คำตอบคือ ‘มากกว่า 300 ล้านโดส’ ข้อมูลจากเว็บไซต์ Our World in Data รวบรวมข้อมูลจนถึงวันที่ 12 มีนาคม 2564 โดยอันดับที่ 1 คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ 101 ล้านโดส รองลงมาเป็นจีน และอินเดีย (52 และ 28 ล้านโดส) แต่ถ้าคิดเป็นต่อประชากรทั้งหมด ‘อิสราเอล’ เป็นประเทศเดียวที่ฉีดวัคซีนไปแล้วเกิน 50% รองลงมาเป็นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 35%

 

แต่ในระหว่างนี้ท่านผู้อ่านน่าจะได้ยินข่าว ‘ผลข้างเคียง’ รุนแรง คือ ผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วมีอาการรุนแรงตามมาเป็นระยะ เช่น อาการแพ้รุนแรง โรคไขสันหลังอักเสบ อาการลิ่มเลือดอุดตัน หรือแม้กระทั่งผู้ได้รับวัคซีนเสียชีวิต ซึ่งถึงแม้ว่าจะได้รับการยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัยมาโดยตลอด แต่ข่าวดังกล่าวก็สั่นคลอนความเชื่อมั่นของเราไม่น้อย

 

‘อาการหลังจากฉีดวัคซีน’ ไม่เท่ากับ ‘ผลข้างเคียง’

ผมอยากให้ทุกท่านทำความเข้าใจระบบเฝ้าระวัง ‘อาการหลังจากฉีดวัคซีน’ หรือในทางวิชาการเรียกว่า ‘เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค’ (AEFI) ก่อนว่าทุกอาการที่ถูกรายงานเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะเป็นข่าวในเวลาต่อมา ไม่ได้เป็น ‘ผลข้างเคียง’ จากการฉีดวัคซีนเสมอไป แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว

 

ยกตัวอย่าง นาย ก. (ไม่ใช่นายกฯ นะครับ) มารับวัคซีนโควิด-19 ที่โรงพยาบาล ระหว่างกลับบ้าน เดินสะดุดขอบฟุตปาธ หกล้มเป็นแผล แผลที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าเป็น ‘อาการหลังจากฉีดวัคซีน’ ก็ได้ แต่ไม่ใช่ ‘ผลข้างเคียง’ จากวัคซีน ถูกต้องไหมครับ? เช่นเดียวกับอาการอื่นๆ ที่เป็นข่าว จะต้องระมัดระวังว่าอาจเป็นแค่แผลของนาย ก. ก็ได้

 

แต่กรณีนี้ต้องถามนาย ก. เพิ่มเติมว่า ก่อนจะเดินสะดุดมีอาการวิงเวียนศีรษะหรือไม่ เพราะอาจเป็นสาเหตุให้หกล้ม และเป็นผลข้างเคียงจากวัคซีนได้

 

‘ระบบเฝ้าระวัง’ หรือการติดตามอาการหลังจากฉีดวัคซีนเป็นระบบที่มีอยู่ก่อนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนที่ฉีดในเด็ก เพื่อสร้างความมั่นใจว่าวัคซีนมีความปลอดภัย โดยตามนิยามของกรมควบคุมโรค อาการดังกล่าวหมายถึง อาการไม่สบายหลังจากได้รับวัคซีนภายใน 30 วัน หากแพทย์หรือพยาบาลพบความผิดปกติก็จะรายงานเข้าสู่ระบบ

 

ถ้าพบผู้มีอาการคล้ายกันจากการได้รับวัคซีนล็อตเดียวกัน หรือจากโรงพยาบาลเดียวกัน ก็จะทำให้สงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีน เช่น วัคซีนล็อตนั้นไม่มีคุณภาพ การเก็บรักษาไม่เหมาะสม หากพบผู้มีอาการรุนแรง จะต้องมีการทบทวนสาเหตุว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ โดยกรมควบคุมโรคอาจหยุดให้วัคซีนชั่วคราวก่อนก็ได้

 

กรณีวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยไม่ได้มีแค่การเฝ้าระวังแบบเดิมคือ ตั้งรับอยู่ที่โรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีช่องทางให้รายงานอาการผ่าน Line OA ‘หมอพร้อม’ หรืออย่างผมที่ได้รับวัคซีนเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทรศัพท์มาสอบถามอาการหลังจากฉีดไปแล้ว 1 วัน, 1 สัปดาห์ และตามกำหนดจะมีอีกครั้งที่ 1 เดือนด้วย

 

‘ความเป็นสาเหตุ’ หรือ ‘ความบังเอิญ’

นาย ก. (คนเดิม) ไม่ทันสังเกตว่าแผ่นปูฟุตปาธไม่เรียบ ก็เลยเดินสะดุดล้ม ไม่ได้มีอาการเวียนศีรษะแต่อย่างใด แต่วันถัดมาเขามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน 3 ครั้ง จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล อาการนี้เป็น ‘อาการหลังจากฉีดวัคซีน’ แน่นอน แต่จะสรุปว่าเป็น ‘ผลข้างเคียง’ จากวัคซีนหรือไม่ จะต้องมีการประเมิน ‘ความเป็นสาเหตุ’ (Causality) ก่อน

 

เพราะอาจเป็น ‘ความบังเอิญ’ ที่เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์จะเกิดขึ้นต่อจากกัน หรือเหตุการณ์ที่ 2 มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์อื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แรก อย่างหลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์ทำนองว่าฝนไม่ตกมาหลายวัน แต่พอวันที่เราซักผ้า ฝนกลับตกลงมา ซึ่งฝนตกน่าจะเป็นความบังเอิญ มากกว่าจะเป็นเพราะเราซักผ้าในวันดังกล่าว

 

การประเมินว่าอาการของนาย ก. เป็นผลมาจากวัคซีนหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญจะต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วย วัคซีน และการให้บริการวัคซีน เพื่อนำมาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากวัคซีน หรือสาเหตุอื่นที่ทำให้มีอาการคล้ายกัน แต่ต้องมีหลักฐานที่หนักแน่นพอ โดยหลักการที่ใช้ในการประเมินความเป็นเหตุผล เช่น

 

  • ความสัมพันธ์ของลำดับก่อนหลัง (Temporal Relationship) คือ ผู้ป่วยได้รับวัคซีนก่อนเกิดอาการ แต่บางโรคมีปัจจัยเสี่ยงก่อนหน้าอยู่แล้ว 
  • เหตุผลทางชีววิทยา (Biological Plausibility) ที่นำมาอธิบายผลของวัคซีนกับการป่วย เช่น อาการไข้เกิดจากการที่วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ความสัมพันธ์ทางสถิติที่หนักแน่น (Strength of the Association) เช่น อัตราการเกิดอาการในผู้ที่ได้รับวัคซีนมากกว่าในประชากรทั่วไป
  • หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ เช่น แพทย์อาจเจาะเลือดส่งตรวจหาสารภูมิคุ้มกันบางอย่างในผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรง
  • หลักฐานก่อนหน้านี้ (Prior Evidence) รายงานว่าวัคซีนทำให้เกิดผลข้างเคียงที่คล้ายกันมาก่อน เช่น วัคซีนยี่ห้อหนึ่งอาจทำให้เวียนศีรษะประมาณ 1%

 

แพทย์ซักประวัตินาย ก. ไม่พบอาการอย่างอื่น เช่น ผื่นแพ้ อาการหายใจลำบาก และวัดความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ จึงไม่น่าจะใช่อาการแพ้ ส่วนภรรยาที่มาส่งก็มีอาการคล้ายกัน แต่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เมื่อวานทั้งคู่รับประทานส้มตำปูปลาร้าด้วยกันตอนเย็น จึงน่าจะเป็นอาการของโรค ‘อาหารเป็นพิษ’ แพทย์จ่ายยารักษาตามอาการ และให้สังเกตอาการที่บ้าน

 

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังอาการในผู้ที่ได้รับวัคซีนล็อตเดียวกับนาย ก. เพราะหากพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ก็จะเข้าเกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ เสียชีวิต เป็นอันตรายถึงชีวิต พิการ ความผิดปกติแต่กำเนิด และนอนโรงพยาบาลขึ้นไป ก็จะเข้าข่ายตั้งแต่แรก

 

 

นอกจาก ‘ผลข้างเคียง’ และ ‘ความบังเอิญ’ แล้ว อาการหลังจากฉีดวัคซีนยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น คุณภาพของวัคซีน การเก็บรักษาวัคซีน ความกังวลต่อการฉีดวัคซีน

 

ยิ่งฉีดเยอะ ยิ่งมีรายงานอาการหลังจากฉีดวัคซีนเยอะ

ใครทายถูกกันบ้างไหมครับที่ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 300 ล้านโดส ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีรายงานอาการหลังจากฉีดวัคซีน และปรากฏในข่าวเยอะตามมาด้วย เช่น ผู้ที่ได้รับวัคซีนในนอร์เวย์เสียชีวิต 23 ราย ในเกาหลีใต้เสียชีวิต 2 ราย ในยุโรปพบภาวะลิ่มเลือดอุดตัน 30 ราย (ในสหราชอาณาจักรก็มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่ไม่เป็นข่าว)

 

ยิ่งในประเทศที่มีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็งก็จะทำให้มีรายงานตัวเลขมากกว่าประเทศอื่น เหมือนตำรวจตั้งกล้องจับความเร็วบนถนนทุกเส้นก็จะทำให้จับผู้ขับรถเร็วกว่ากำหนดได้มากขึ้น แต่ข้อมูลสำคัญคือ ‘ตัวหาร’ ว่า ‘ต่อจำนวนวัคซีนกี่ล้านโดส’ หรือ ‘ต่อผู้ที่ได้รับวัคซีนกี่ล้านคน’ เพราะจะทำให้เห็นความน่าจะเป็น รวมถึงความเสี่ยงของเหตุการณ์นั้น 

 

ยกตัวอย่าง ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน 30 ราย จากจำนวนผู้ได้รับวัคซีนเกือบ 5 ล้านคน คิดเป็น 30/5 = 6 รายต่อผู้ได้รับวัคซีน 1 ล้านคน ในขณะที่สถิติโดยทั่วไปแล้วพบผู้ป่วยโรคนี้ปีละประมาณ 1,000 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ดังนั้นผู้ที่ได้รับวัคซีนจึงไม่ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต แทบเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันอยู่แล้ว

 

ทั้งนี้ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ของ ‘ผลข้างเคียง’ ที่พบได้ยาก ทุกประเทศรวมถึงไทยจึงมีระบบเฝ้าระวังอาการหลังจากฉีดวัคซีน และเมื่อมีรายงานเข้ามาก็ต้องมีการสอบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน แต่เมื่อได้ยินข่าว ‘อาการหลังจากฉีดวัคซีน’ รุนแรง ผู้อ่านทุกท่านก็ต้องรู้เท่าทันความกลัวของเราด้วย

 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X