×

ศาลฎีกายืนคำสั่งตามศาลอุทธรณ์ ให้ปิดกั้นไลฟ์วิจารณ์วัคซีนของธนาธรโดยไม่พิจารณาเนื้อหา เหตุมีคนมาแสดงความเห็นที่อาจกระทบความมั่นคง

โดย THE STANDARD TEAM
15.06.2023
  • LOADING...
วัคซีนพระราชทาน

วันนี้ (15 มิถุนายน) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลอาญานัดฟังคำสั่งของศาลฎีกา กรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยื่นคัดค้านคำสั่งการปิดกั้นการเข้าถึงคลิปวิดีโอ เรื่อง วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย? ในช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของคณะก้าวหน้า ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564

 

ในคดีนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ได้อ้างอำนาจตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอให้สั่งปิดกั้นการเข้าถึงคลิปดังกล่าว โดยอ้างว่ามีเนื้อหาที่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) 

 

ต่อมาหลังการไต่สวนฝ่ายเดียว ในวันที่ 29 มกราคม 2564 ศาลได้มีคำสั่งตามคำร้องของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้ระงับการเผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าว แต่ธนาธรได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งระงับการเผยแพร่ดังกล่าว ศาลอาญาจึงได้ให้มีการไต่สวนคดีใหม่ โดยให้ธนาธรมีโอกาสเข้าร่วมในการไต่สวนด้วย

 

ก่อนที่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลอาญาได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการปิดกั้น โดยเห็นว่าการพิจารณาเรื่องการปิดกั้นเว็บไซต์ตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต้องให้โอกาสเจ้าของเว็บไซต์โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานอย่างเต็มที่ เสมือนการพิจารณาคดีอาญาคดีหนึ่ง และยังระบุเหตุผลว่า การตีความคำว่า ‘อาจกระทบต่อความมั่นคง’ ต้องตีความอย่างเคร่งครัดและเป็นภาวะวิสัย 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้น โดย ทศพล เพ็งส้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เปิดเผยว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ระงับการเผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าว เนื่องจากเข้าข่ายกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

 

โดยสรุปได้ว่า ศาลได้วินิจฉัยความผิดจากข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรตามที่ได้กำหนดไว้ในภาค 2 ลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งในกำหนดดังกล่าวได้มีมาตรา 112 อยู่ด้วย ดังนั้นหากศาลจะมีคำสั่งระงับการเผยแพร่ก็ย่อมสามารถทำได้ หากการเผยแพร่มีการปรากฏข้อมูลหรือการวิพากษ์วิจารณ์จากที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวปรากฏอยู่ด้วย โดยไม่จำเป็นต้องให้โอกาสเจ้าของข้อมูลเข้ามาชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานโต้แย้ง

 

ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ชี้ว่าการเผยแพร่คลิปอาจทำให้มีผู้มาแสดงความคิดเห็นที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันฯ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าไลฟ์ของธนาธรเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลหรือไม่

 

ที่สุดแล้วศาลอาญาได้นัดอ่านคำสั่งของศาลฎีกา มีใจความสำคัญโดยสรุปว่า ตามที่ผู้คัดค้าน หรือธนาธร ได้ยื่นคัดค้านฎีกาว่า คลิปวิดีโอในหัวเรื่องที่ระบุว่า ‘วัคซีนพระราชทาน ใครได้ใครเสีย?’ มีความหมายว่า รัฐบาลประมาท ไม่เร่งรีบจัดหาวัคซีน ทำให้การจัดหาล่าช้าและน้อยเกินไป 

 

เนื่องจากรัฐบาลมุ่งแสวงหาความนิยมมากเกินไป และผู้คัดค้านได้เปรียบเทียบการจัดหาวัคซีนกับประเทศไต้หวัน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการจัดหาวัคซีนได้รวดเร็วกว่า และมีการจัดหาผู้ผลิตได้ครอบคลุมและหลากหลายเพียงพอต่อสัดส่วนของประชากร ขณะที่รัฐบาลไทยเอาเพียงแต่ฝากความหวังไว้กับบริษัทเดียว ซึ่งแสดงถึงการทำงานของรัฐบาลว่าไม่พยายามจะจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรให้มากกว่าร้อยละ 21.5 โดยกล่าวว่า รัฐบาลฝากความหวังไว้กับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เท่านั้น

 

ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องคัดค้านมีปัญหา ต้องวินิจฉัยว่ามีเหตุสมควรให้ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลคลิปวิดีโอดังกล่าวหรือไม่ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมใช้อำนาจตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้สั่งปิดกั้นการเข้าถึง โดยอ้างว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวมีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) 

 

เมื่อได้ความปรากฏว่า หลังมีการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวมาแล้ว มีผู้แสดงความเห็นทางอินเทอร์เน็ตใต้คลิปวิดีโอดังกล่าว รวมไปถึงข้อความที่กล่าวถึงสถาบันฯ และการใช้ภาษีประชาชน

 

เมื่อแสดงว่ามีผู้เห็นถ้อยคำดังกล่าวของผู้คัดค้านแล้ว ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ในทำนองว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข้าไปบริหารวัคซีนกับรัฐบาล ซึ่งการกระทำของผู้ที่แสดงความคิดเห็นอาจเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรแห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ ดังนั้นข้อมูลจากคลิปดังกล่าวที่แพร่หลาย จึงอาจทำให้มีผู้มาแสดงความคิดเห็นที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรได้

 

กรณีนี้จึงมีเหตุให้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่า ถ้อยคำที่ใช้ในไลฟ์วิดีโอดังกล่าวของผู้คัดค้านจะเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญไทยหรือไม่

 

และหากให้ไลฟ์ดังกล่าวแพร่หลายออกไป อาจทำให้มีผู้มาแสดงความเห็นอย่างอื่นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ระงับและปิดกั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งยืนตามศาลอุทธรณ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising