×

‘อันเดรีย ปิร์โล’ กับขั้นตอนการหมักไวน์ชั้นเยี่ยมของวงการฟุตบอล

09.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. read
  • อันเดรีย ปิร์โล ตำนานทีมชาติอิตาลี เตรียมแขวนสตั๊ดในเดือนธันวาคมนี้ หลังหมดสัญญากับ New York City ทีมในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ สหรัฐฯ
  • ปิร์โลคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอิตาลีเมื่อปี 2006 และ คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีก 2 สมัยกับ เอซี มิลาน แชมป์ลีกเซเรียอา อีก 6 สมัย กับมิลานและยูเวนตุส รวมถึงอีกหลายถ้วยรางวัลอาชีพค้าแข้งตลอด 22 ปี
  • ปิร์โลได้ฉายาว่าเป็น The Architect และ The Metronome เนื่องจากเขาเป็นได้ทั้งกองกลางที่สร้างสรรค์ และควบคุมจังหวะเกมที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่โลกเคยมีมา

     อันเดรีย ปิร์โล คุณคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรกเมื่อได้ยินชื่อนี้? ตำนานทีมชาติอิตาลี? กองกลางมากพรสวรรค์? นักดื่มไวน์ตัวยง? หรือ ทั้งหมดที่เราได้กล่าวมา คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุด เพราะปิร์โลสำหรับหลายๆ คนแล้วเป็นได้หลายอย่าง แต่สิ่งที่เขาโด่งดังมากที่สุดคือ พรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอล ที่หลายคนมักจะเปรียบฝีมือการเล่นของปิร์โลเสมือนไวน์ชั้นเยี่ยม ที่ยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไร รสชาติก็ยิ่งนุ่มลึกมากขึ้นเท่านั้น

     วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา แฟนบอลกัลโซ่ อาจต้องใจหายไม่น้อย เมื่อ อันเดรีย ปิร์โล กองกลางจอมเทคนิคชาวอิตาลี วัย 38 ปี ประกาศเตรียมแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ หลังหมดสัญญากับนิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซีสโมสรต้นสังกัด ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ สหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมนี้

 

Photo: ODD ANDERSON/AFP

 

     ที่ผ่านมาปิร์โลมีบุคลิกที่เงียบขรึม เสมือนกับไวน์ราคาแพงที่ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายมากมาย แต่ทุกคนที่รู้จักไวน์เป็นอย่างดีก็จะเข้าใจถึงคุณค่าและคุณภาพของไวน์ขวดนั้น เหมือนที่ เซซาเร ปรันเดลลี กุนซือทีมชาติอิตาลีคนสุดท้ายที่มีโอกาสได้ใช้งานปิร์โลในศึกฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ประเทศบราซิล เคยเปรียบปิร์โลว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรได้รับการสงวนไว้เป็นพิเศษ

     “อังเดรีย ปิร์โล คือนักฟุตบอลของทุกคน นักฟุตบอลคุณภาพแบบเขาควรได้รับการรักษาและสงวนไว้เป็นพิเศษ” กุนซือทีมชาติอิตาลีกล่าวถึงปิร์โล ภายในหนังสือ I Think Therefore I Play ของ อังเดรีย ปิร์โล

     แต่กว่าที่ปิร์โลจะกลายเป็นที่ยอมรับของทุกคนในวันนี้ เขาต้องผ่านการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาด้วยวัยเพียง 14 ปี กับสโมสรฟุตบอลเบรสชา

 

การบีบหรือการคั้นเอาน้ำองุ่นบริสุทธิ์ โดยผู้ปกครองและเพื่อนร่วมทีม

     จุดเริ่มต้นของการทำไวน์ชั้นเยี่ยมหลังจากที่ได้คัดเลือกองุ่นพันธุ์ดีมาแล้วคือ การบีบหรือการคั้นเอาน้ำองุ่นบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับปิร์โลที่ก็ผ่านการบีบคั้นเช่นกัน

     ในวัยเด็กปิร์โลเป็นเด็กที่มีสัญญาณมาตั้งแต่แรกว่าจะกลายเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ด้วยพรสวรรค์ที่ติดตัวมา แต่แน่นอนว่าแสงที่สว่างย่อมจะกระแทกตาใครบางคน และสร้างความไม่พอใจให้กับคนเหล่านั้น

     ปิร์โลเรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยวัยเพียง 14 ปีกับสโมสรฟุตบอลเบรสชา ในอิตาลี ในวันที่ปิร์โลเล่าว่า เขาเล่นฟุตบอลแข่งกับนักเตะ 21 คนในสนาม

     “ในวัยเด็กผมรู้ว่าผมเป็นนักฟุตบอลที่มีความสามารถโดดเด่นมากกว่าคนอื่น ทุกคนพูดถึงผม บางครั้งผมก็รู้สึกว่าหลายคนพูดถึงผมมากเกินไป และหลายครั้งมักจะเป็นการพูดถึงเรื่องที่ไม่ดี” ปิร์โลเล่าประสบการณ์ในวัยเด็ก

     พ่อและแม่ของเขาต้องคอยหนีจากคำพูดของผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่มักแสดงท่าทีหมั่นไส้เวลาที่เห็นลูกชายของพวกเขาลงสนาม

     “เขาคิดว่าเขาเป็นใคร มาราโดนาเหรอ?” หนึ่งในเสียงสะท้อนความรู้สึกของผู้ปกครองที่ร่วมชมการแข่งขันในวันนั้น

     ซึ่งคำพูดเหล่านั้นปิร์โลมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือการพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้ปกครองเหล่านั้นพูดไม่เป็นความจริง แต่ความกดดันข้างสนามไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขาต้องประสบ

     “ส่งบอลให้หน่อย”

     เสียงของปิร์โลหายไปกับสายลมในการพูดครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายปิร์โลได้ตะโกนถามทุกคนด้วยความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือความเงียบจากเพื่อนร่วมทีม และการก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลเสมือนปิร์โลไม่อยู่ในสนาม

     “ผมวิ่งออกจากสนามพร้อมกับน้ำตา ท่ามกลางผู้ปกครอง เพื่อนร่วมทีม และคู่แข่งในสนามทั้งหมด 21 คน”

     ท่ามกลางความรู้สึกเสียใจที่ถูกปฏิเสธจากทุกคนเนื่องจากพรสวรรค์และความสามารถของเขาที่โดดเด่นกว่าคนอื่น แต่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำ ปิร์โลเหลือทางเลือกเพียงแค่ 2 ทางคือ อารมณ์เสียไปกับมันและเลิกเล่นไปเลย หรือ อารมณ์เสียและพยายามที่จะเล่นต่อไป

     สุดท้ายปิร์โลก็เลือกทางที่ 2 ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และเขาก็ได้ทำมันในสนามครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่มีใครส่งบอลให้เขา เขาจะไปเอาบอลเอง และพาบอลขึ้นไปจนกว่าจะยิงประตูได้โดยไม่สนใจเพื่อนร่วมทีมคนอื่น สำหรับคนทั่วไป การเล่นฟุตบอลที่ดีอาจจะเพียงพอในแต่ละเกม แต่สำหรับปิร์โลมันคือความล้มเหลว เนื่องจากเขาต้องการโชว์ฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดเท่านั้น

     ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของปิร์โล เขายอมรับว่าการมองย้อนกลับไปในหัวของเขา ณ เวลานั้นมีเพียงความบ้าคลั่ง

     “อยากเป็นนักฟุตบอลใช่ไหมล่ะ ไปสิ หยิบลูกบอลนั้นขึ้นมา สร้างนาทีที่วิเศษที่สุด และจงสร้างมันอย่างต่อเนื่อง ก้าวไปสิปิร์โล ทุกอย่างฟ้าได้กำหนดไว้หมดแล้ว ก้าวไปสิ” ปิร์โลเผยถึงความคิดในวัยเด็กของเขา

 

ขั้นตอนการหมัก และการตกตะกอน โดยอินเตอร์ มิลาน และ คาร์โล มัซโซเน

     หลังจากการบีบคั้นจนปิร์โลได้เป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนขึ้น และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาได้อย่างดีเยี่ยม ปิร์โลก็พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องในอาชีพนักฟุตบอล โดยเขาสามารถเข้าสู่ทีมใหญ่ของสโมสรฟุตบอลเบรสชา และในปี 1995 เขาก็ได้ลงเล่นในเซเรียอา อิตาลี ลีกสูงสุดของประเทศด้วยวัยเพียง 16 ปี และกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ลงเล่นในเซเรียอา

     ปิร์โลโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในตำแหน่งกองหน้าเบอร์ 10 จนกลายเป็นที่สนใจของ มีร์เชีย ลูเชสคู กุนซือของอินเตอร์ มิลานในขณะนั้น และได้ย้ายไปร่วมอินเตอร์ มิลาน ในปี 1998 แต่ปิร์โลก็ประสบปัญหาชีวิตอีกครั้ง เมื่อเขาไม่สามารถรักษาตำแหน่งตัวจริงได้ และหลังจากที่อินเตอร์ มิลานจบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 ของเซเรียอา ปิร์โลก็ถูกปล่อยให้ยืมตัว

     ปิร์โลใช้เวลาหลายปีกับการยืมตัว และนั่งเป็นตัวสำรองให้กับทีมอินเตอร์ มิลาน จนกระทั่งในช่วงท้ายฤดูกาล 2000-2001 เขาถูกสโมสรฟุตบอลเบรสชา สโมสรเก่าของเขายืมตัวมาใช้งาน

     การกลับมาร่วมงานกับสโมสรเก่าครั้งนี้ ปิร์โลได้มีโอกาสลงสนามร่วมกับไอดอลในวัยเด็กของเขา เทพบุตรเปียทองคำ โรแบร์โต บัจโจ ที่เล่นในตำแหน่งกลางรุก ขณะที่ทาง คาร์โล มัซโซเน กุนซือของทีมเบรสชาในขณะนั้น ได้ตัดสินใจทำสิ่งสำคัญให้กับวงการฟุตบอลอิตาลี ด้วยการย้ายปิร์โลมาเล่นในตำแหน่งกลางรับ ซึ่งเป็นการจุดประกายหนทางใหม่ในความฝันของปิร์โล เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่เขาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างดีเยี่ยม

     ฤดูกาลนั้น สโมสรฟุตบอลเบรสชา จนอันดับ 7 ของเซเรียอา และผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยไฮไลต์ของปิร์โลในซีซันนั้นคือการเปิดบอลยาวให้กับโรแบร์โต บัจโจยิงประตูตีเสมอยูเวนตุสที่สตาดีโอเดลเลอัลปี เมื่อวันที่ 1 เมษายนปี 2001

 

Photo: FILIPPO MONTEFORTE/AFP

 

การบ่มและการกรอง โดย คาร์โล อันเชล็อตติ

     หลังจากที่ทำการหมักจนได้ตำแหน่งที่ปิร์โลถนัด 3 ปีที่อินเตอร์ มิลาน เวลาของเขากับทีมอินเตอร์ มิลาน ก็จบลงด้วยค่าตัว 17 ล้านยูโร จากคู่อริ เอซี มิลาน ที่ยอมทุ่มซื้อเมื่อวันที่ 10  มิถุนายน 2001 และภายใต้กุนซือที่บ่มเพาะ ปิร์โลจนกลายเป็นนักฟุตบอลระดับโลก ชื่อของเขาคือ คาร์โล อันเชล็อตติ ทั้งคู่ประสบความสำเร็จระดับสูงร่วมกันเป็นเวลา 8 ปี

     “เขาเปลี่ยนอาชีพของผม ด้วยการให้ผมเล่นตำแหน่งหน้ากองหลัง เรามีประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ร่วมกัน” ปิร์โลให้สัมภาษณ์กับ La Gazzetta dello Sport ถึงช่วงเวลาที่ได้ร่วมงานกับอันเชล็อตติ

     ปิร์โลได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ในตำแหน่งนี้ เขาพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และเซเรียอา อย่างละ 2 สมัย โกปปาอีตาเลีย 1 สมัย อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ปี 2007 แชมป์สโมสรโลก ในปี 2008  

 

Photo: DANIEL GARCIA/AFP

 

การบรรจุลงขวดแชมป์โลกปี 2006 โดย มาร์เชลโล ลิปปี

     ปิร์โลกลายเป็นไวน์ที่สมบูรณ์พร้อมบรรจุลงขวด เมื่อปี 2006 ในศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศเยอรมนี ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เชลโล ลิปปี กุนซือระดับตำนานของทีมชาติอิตาลี ที่พาพวกเขาเข้าไปสู่รอบชิงเพื่อพบกับทีมชาติฝรั่งเศสที่ เทียร์รี อองรี และซีเนดีน ซีดาน กำลังโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมในปีนั้น

     หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดของปิร์โลในการพูดถึงก่อนการแข่งขันนัดชิงที่เขาได้แสดงถึงความผ่อนคลายด้วยการเล่นเกมเพลย์สเตชันโดยไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดเดียว

     “ผมไม่รู้สึกกดดัน ผมไม่สนใจเลย ผมใช้เวลาช่วงบ่ายวันที่ 9 มิถุนายน ปี 2006 ในเบอร์ลิน นอนและเล่นเพลย์สเตชัน และเวลาต่อมาในคืนนั้น ผมก็ลงสนามไปคว้าแชมป์โลก”

     แต่แท้จริงแล้วความกดดันของปิร์โลเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 90 นาทีในสนามหมดลง และทั้งสองทีมเสมอกันอยู่ที่ 1-1 โดยลิปปีเดินตรงเข้ามาหาปิร์โลและบอกกับเขาสั้นๆ ว่า “คุณคือคนแรก” ในการสังหารจุดโทษ

     “เราทั้งสองคนรู้ทันทีว่าคำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร คนแรกที่ต้องยิงจุดโทษเป็นคนที่รับแรงกดดันมหาศาล การรับหน้าที่นี้แปลว่าคุณคือคนที่เก่งที่สุด แต่ถ้าคุณยิงพลาดคุณคือคนแรกที่จะโดนทุกคนโจมตีทันที     

     “เมื่อใดก็ตามที่ผลการแข่งขันถูกตัดสินด้วยจุดโทษในฟุตบอลโลกนั้นหมายความว่า เราเป็นคนเดียวที่ต่อสู้กับคนทั้งชาติ เพราะว่าผู้รักษาประตูต้องทำทุกหนทางเพื่อจะป้องกันชาติของเขาให้ได้

     “ผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปทางไหน แต่สุดท้ายผมก็คิดว่าจะยิงตรงกลางประตู แต่สูงขึ้นหน่อย เพราะเชื่อว่า ฟาเบียง บาร์กเตซ (ผู้รักษาประตูทีมชาติฝรั่งเศสในปีนั้น) จะพุ่งไปทางใดทางหนึ่งแน่นอน”

     ปิร์โลเดินไปที่ประตู พร้อมกับเสียงทั้งสนามเงียบลง แต่แสงแฟลชของกล้องหลังประตูยังคงกะพริบเป็นแสงรบกวนสมาธิของผู้สังหารประตูทุกคนในวันนั้น

     “ผมกลั้นหายใจหยิบลูกฟุตบอลขึ้นมาและมองขึ้นฟ้าหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะผมเชื่อว่าถ้าพระเจ้ามีจริง ไม่มีทางเลยที่พระเจ้าจะเป็นคนฝรั่งเศส”

 

     สุดท้ายภาพไฮไลต์ที่ถูกบันทึกหลังจากวินาทีที่ปิร์โลเตะลูกฟุตบอลพุ่งเข้าไปตุงตาข่าย ทุกอย่างเป็นไปตามที่ปิร์โลได้วางแผนไว้ และเช่นเดียวกับคำพูดของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2006 อิตาลีคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จด้วยการเอาชนะจุดโทษทีมชาติฝรั่งเศส

 

 

การติดฉลาก มาดริด-บาร์ซา-ยูเวนตุส

 

Photo: MARCO BERTORELLO/AFP

 

     ไวน์ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ อย่างปิร์โล ที่เป็นกำลังสำคัญในการพาอิตาลีคว้าแชมป์โลกย่อมเป็นที่ต้องการของผู้คนที่มีทุนทรัพย์ทั่วโลก แต่แท้จริงแล้วในช่วงหลังจากที่เขาคว้าแชมป์โลก สโมสรแรกที่ปิร์โลคิดถึงกลับเป็นเรอัล มาดริด ภายใต้การคุมทึมของ ฟาบิโอ คาเปลโลในขณะนั้น

     ซึ่งปิร์โลเองก็ได้จินตนาการภาพตัวเองใส่ชุดขาว ลงเล่นที่ ซานติอาโก เบร์นาเบว ในเมืองหลวงของประเทศสเปนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่พอเรื่องการเจรจาถึงหูของสโมสรเอซี มิลาน ทาง อาเดรียโน กัลเลียนี หัวหน้าบอร์ดบริหารคนดังของเอซี มิลานก็ยับยั้งไว้พร้อมกับยื่นสัญญาฉบับใหม่ เป็นระยะเวลา 5 ปีให้กับปิร์โล ซึ่งปิร์โลก็ตัดสินใจอยู่กับสโมสรต่อไป

     แต่การติดต่อจากสโมสรยักษ์ใหญ่จากสเปนไม่ได้จบลงเพียงทีมเดียว เมื่อทีมยักษ์ใหญ่จากกาตาลุญญา บาร์เซโลนา ภายใต้การคุมทีมของ เปป กวาร์ดิโอลา ได้ติดต่อกับปิร์โลเมื่อปี 2010

     ในแมตช์อุ่นเครื่องที่คัมป์นู หลังจบการแข่งขัน เปปได้ส่งคนไปเชิญปิร์โลมาพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการย้ายมาร่วมทีมบาร์เซโลนา

     “เราต้องการคุณที่นี่ ปิร์โล ทีมของเราแข็งแกร่ง ผมไม่สามารถหาทีมที่ดีกว่านี้ได้ แต่คุณจะช่วยให้เราดีขึ้นไปอีก เรากำลังหาคนมาช่วยสลับตำแหน่งกับ ชาบี อันเดรส อิเนียสตา และ เซร์คืโอ บุสเก็ตส์” ปิร์โลเล่าถึงคำพูดที่เปปได้กล่าวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 2010

     แต่หลังจากการพูดคุยครั้งนั้นไม่นาน ปิร์โลก็ตัดสินใจย้ายทีม แต่เป็นการย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส เมื่อปี 2011 ซึ่งเขาได้ประสบความสำเร็จระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้าแชมป์เซเรียอา อีก 4 สมัย และเข้าชิงฟุตบอลยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2015 และนั่นก็เป็นแมตช์สุดท้ายของเขาในสีเสื้อขาวดำของยูเวนตุสก่อนที่จะย้ายไปค้าแข้งกับทีม New York City ในปี 2015

     จากเด็กวัย 14 ปีที่โดนหมั่นไส้จากผู้ใหญ่และเพื่อนร่วมทีมจนมาถึงวันที่เขากำลังจะเกษียณจากสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด ดูเหมือนว่าวันนี้ เขาสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม หรือแม้สถานการณ์จะไม่เป็นใจให้กับความฝัน สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นในตัวเอง และการก้มหน้าแก้ไขปัญหา และเดินหน้าตามฝันที่ตัวเองต้องการ

     ในวัย 38 ปี ปิร์โลเปรียบเสมือนไวน์ที่ไม่มีวันหมดอายุอย่างเป็นทางการ มีแค่เพียงคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าหมดอายุเมื่อไร แม้วันนี้จะถึงเวลาที่ไวน์ขวดนี้จะแปรสภาพเป็นอย่างอื่น แต่จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็คงต้องติดตามการตัดสินใจของปิร์โลต่อจากนี้

 

 

Cover Photo: GIUSEPPE CACACE/AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising