×

รู้จัก ‘ALLY Global Management’ หนึ่งเดียวของการลงทุนแบบไพรเวท อิควิตี้ (Private Equity) ที่พร้อมพานักลงทุนไทยเข้าไปโลดแล่นในตลาดโลก

04.04.2022
  • LOADING...

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันนักลงทุนไทยส่วนใหญ่มักจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ซึ่งหากเทียบให้เห็นภาพนี่เป็นส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ทว่าจริงๆ แล้วหากมองเข้าไปในการลงทุนในระดับโลก ยังมีสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งที่นักลงทุนไทยยังไม่รู้จักอีกมาก

 

ซึ่งใต้ภูเขาน้ำแข็งที่ว่าคือการลงทุนใน ‘Private Assets’ ซึ่งแม้จะมีการลงทุนที่เข้าถึงยากกว่าสินทรัพย์แบบ Public Assets แต่ก็แลกมาด้วย ‘ผลตอบแทน’ ที่สูงกว่า และ ‘ความเสี่ยงด้านราคา’ ที่ต่ำกว่า 

 

เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะการลงทุนใน Public Assets ก็ต้องแลกมาด้วยการที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ จึงมีทั้งนักลงทุนรายย่อยหรือกลุ่มที่เก็งกำไรจำนวนมาก ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ละเอียดอ่อนมากระทบจึงส่งผลต่อสินทรัพย์ประเภทนี้อยู่มาก เช่น การระบาดของโควิดแรกๆ ในเดือนมีนาคม 2020 หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศต่างติดลบ -35 ถึง -40% ด้วยกัน กระทั่งการเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนก็ส่งผลเช่นกัน โดยตลาดหุ้น Nasdaq ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลง -20% ส่วนหุ้นจีนลดลง -35 ถึง -40% 

 

แม้การลงทุนใน Public Assets จะมีสภาพคล่องที่มากกว่า แต่ก็แลกมากับความผันผวนระหว่างทางที่สูงมาก ซึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองในระยะสั้นและระยะกลาง มากกว่าการลงทุนใน Private Assets ซึ่งนักลงทุนมักจะมองถึงผลในระยะยาวมากกว่า 

 

สิ่งนี้สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการทบต้นต่อปีจากการถือหน่วยลงทุน โดยหากลงทุน 5-10 ปี การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่หรือ Private Assets ในสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนที่ไม่แตกต่างกันมากนั่นคือ 10% กว่าๆ เหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างชัดมากๆ คือการลงทุนในระยะยาว เช่น 15 ปี หรือ 25 ปี เราจะค้นพบว่าผลตอบแทนใน Private Assets น่าสนใจกว่ามาก ด้วยตัวเลขผลตอบแทนมากกว่า 10% ทบต้นต่อปี

 

ขณะที่ Preqin ซึ่งเปรียบได้กับ Bloomberg แห่งโลกของ Private Assets ได้สำรวจนักลงทุนจากสถาบันทั่วโลกนับพันคน โดยพบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ระบุถึงความตั้งใจที่จะเพิ่มการลงทุนในกลุ่ม Private Assets มากขึ้น ซึ่งเหตุผลมาจากการมองเห็นถึงเทรนด์การสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า อันมาจากความเสี่ยงด้านราคาต่ำกว่า

 

โดยหากอ้างอิงข้อมูลเงินกองทุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสแตนฟอร์ด มีการลงทุนใน Private Assets กว่า 30-50% ขณะที่ Provident Fund และนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของโลกมีสัดส่วนการลงทุนใน Private Assets ที่เยอะมากและตั้งใจจะลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ 

 

เหล่านี้เองกลายเป็นโอกาสที่ ‘ALLY Global Management’ ซึ่งเป็น ‘ไพรเวท อิควิตี้ (Private Equity)’ มองเห็นและอยากให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนแบบ Private Assets ซึ่งหากย้อนกลับไป 5-10 ปีที่แล้ว การที่นักลงทุนไทยจะเข้าถึงเป็นเรื่องที่ยากมาก

 

กฤษฏิ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ Managing Partner ของ ALLY Global อธิบายว่า ปัจจุบันนักลงทุนไทยค่อนข้างมีข้อจำกัดในการลงทุนอยู่พอสมควร ไม่ว่าจากประเภทสินทรัพย์หรือจากการเข้าถึงสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนในระดับโลก จึงทำให้การลงทุนมีข้อจำกัด ถึงแม้จะมีรูปแบบการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ แต่ก็ต้องผ่านตัวกลางมากมาย ซึ่งจะมีการคิดค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และในส่วนของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นค่อนข้างจะทำให้เกิดความเสียเปรียบนักลงทุนในต่างประเทศ

 

“เรามองเห็นโอกาสนี้ที่จะสามารถช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนโดยตรงโดยที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางมากมาย ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ลงไปอีก”

 

ALLY Global Management

 

สำหรับ ALLY Global เป็นบริษัทการลงทุน (Alternative Investment – Private Equity Investment) ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารการลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ที่นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส กรุงเทพฯ และสิงคโปร์

 

ALLY Global เน้นการลงทุนใน 4 ธุรกิจหลักทั่วโลก โดยเน้นองค์ประกอบของธุกิจที่มีความมั่นคงและอนาคตเติบโตสดใส และเน้นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง มีทรัพย์สินหรือกระแสเงินสดรองรับ ได้แก่

 

  1. อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
  2. สื่อและความบันเทิง (Media and Entertainment) 
  3. อุตสาหกรรมด้านบริการและโรงแรม (Hospitality)
  4. การลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโต ยั่งยืน และพลังงานสะอาด (Growth, Sustainability and Green Energy)

 

ความน่าสนใจคือ ALLY Global วางกลยุทธ์การลงทุนแบบ Leadership Strategy หรือกลยุทธ์แบบผู้นำที่เหนือกว่า อันมีหลักการที่สำคัญจำนวน 2 เรื่องด้วยกัน คือ 

 

เรื่องแรกการลงทุนร่วมกับผู้ก่อตั้งกองทุนชื่อดัง ซึ่งเราจะเห็นมาโดยตลอดว่าเขาสามารถเข้าถึงโอกาสที่ดีกว่าผู้อื่นอยู่เสมอสำหรับการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนในระดับที่สูง 

 

ส่วนเรื่องที่ 2 ทาง ALLY Global ทำงานร่วมกับพันธมิตรกองทุนระดับโลกและบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการลงทุนอย่างมากในธุรกิจประเภทต่างๆ นอกจากนั้น ALLY Global ยังได้ทำงานร่วมกับทุกพาร์ตเนอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะเข้าใจถึงเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และเพื่อโอกาสการเข้าลงทุนในสินทรัพย์นั้นโดยตรง เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดกับนักลงทุน

 

ALLY Global Management

“พาร์ตเนอร์หลายคนของเราที่เคยเป็นหัวหน้าทีมด้านการลงทุนอสังหาฯ ในธนาคารขนาดใหญ่ทั่วโลก ทำให้เรารู้จักและคัดเลือก Operator ที่ดีที่สุดในตลาดหลักๆ ให้เราได้ดูและเลือกของดีก่อนคนอื่น ซึ่งเห็นได้จากผลตอบแทนในการลงทุนของเราที่มีตั้งแต่ 18-40% ต่อปี ในทุกการลงทุน” กฤษฏิ์กล่าว

 

ขณะเดียวกัน ตัวกฤษฏิ์ก็มีดีกรีที่ไม่ธรรมดา เพราะตัวเขานั้นจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และยังได้จบปริญญาโท สาขาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Master of Science, Global Real Estate ) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางตัวเลือกการลงทุนที่มีอยู่มากมาย สิ่งที่  ALLY Global นั้นมีความโดดเด่นและต่างกับการลงทุนแบบแพลตฟอร์มทั่วไปคือ

 

  1. ALLY Global ลงทุนในสินทรัพย์โดยตรงและผลตอบแทนสูงกว่า โดยแพลตฟอร์มการลงทุนทั่วไปจะลงทุนแบบต่อลงมาหลายขั้น ซึ่งทำให้การลงทุนทั่วไปอาจไม่ได้มีโอกาสเป็นสินทรัพย์ที่ดีได้ ทำให้การลงทุนทั่วไปได้รับผลตอบแทนต่ำกว่ามาก

 

  1. ALLY Global มีโอกาสที่จะเข้าถึงสินทรัพย์ที่ดีมากก่อนบริษัทอื่นๆ เพราะ ALLY Global มี Local Operator เป็นพันธมิตรหลัก ซึ่งมาจากการสร้าง Connection ชื่อเสียง และความชัดเจนที่ ALLY Global มีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 

  1. ALLY Global เลือกเฉพาะสินทรัพย์ที่ดีและมีศักยภาพสูง เช่น ทำเลที่ดีที่สุดหรือธุรกิจที่มีความชัดเจนเรื่องการเติบโตและผลตอบแทน โดยมีจุดยืนเรื่องราคาที่จะลงทุนและมีความเข้าใจผู้ขาย ทำให้เกิดความเป็น Partnership ที่เหนียวแน่น

 

“เมื่อปีก่อนเราเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยเราสามารถซื้อในราคาที่ถูกกว่าที่ดินในเมืองไทยถึง 3 เท่า ในขณะเดียวกัน เรากลับสามารถขายได้แพงกว่า 20% ซึ่งนี่คือผลงานของ ALLY Global”

 

ภายใน 5 ปีต่อจากนี้ ALLY Global มีเป้าหมายที่ขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสู่ 5,000 ล้านดอลลาร์ โดยเป้าหมายนี้มาจากการมองเห็นแนวโน้มการลงทุนในภาคเอกชนของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรปและเอเชียหลายประเทศ ต่างมองว่าการลงทุนแบบไพรเวท อิควิตี้ (Private Equity) สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนทั่วๆ ไป

 

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ally-global.com

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising