พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีการปลดประจำการเรือเหาะ หลังเข้าประจำการตั้งแต่ปี 2552 ที่ พล.ร. 15 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มูลค่า 350 ล้านบาท โดยแยกเป็นเรือเหาะ 260 ล้านบาท และ กล้องตรวจการณ์ 70 ล้านบาท ว่า
ตัวผืนผ้าบอลลูนหมดอายุการใช้งานแล้ว แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้อยู่ ต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน อาจนำกล้องตรวจการณ์ไปติดตั้งบนอากาศยานแทน
โดย กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กำลังดำเนินการ เพราะตัวบอลลูนเมื่อหมดอายุการใช้งาน การนำคนขึ้นไปอาจเสี่ยงอันตรายได้ จึงได้ระงับการใช้งานบอลลูนไว้
ส่วนกล้องตรวจการณ์มีราคาแพงและยังใช้ได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลอง โดยจะไม่มีการซื้อบอลลูนตัวใหม่มาทดแทน
สำหรับที่มาของ ‘เรือเหาะ’ คณะรัฐมนตรี รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เห็นชอบอนุมัติงบประมาณจำนวน 350 ล้านบาท จัดหา ‘ระบบเรือเหาะ’ พร้อมกล้องตรวจการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน ใช้ภารกิจแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเข้าประจำการในกองทัพตั้งแต่ปี 2552 ในสมัยของ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เริ่มบินครั้งแรก 15 มกราคม 2553 ก็เจอปัญหาทางเทคนิค และเริ่มมีการตั้งข้อสังเกตถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า ต่อมาเดือนมีนาคมปีเดียวกัน กองทัพบก จัดทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน แต่ห้ามสื่อมวลชนเข้าไปทำข่าว แต่มีรายงานข่าวออกมาภายหลังว่า เรือเหาะลอยได้สูงเพียง 1 กิโลเมตร ต่ำกว่าสเปกที่กำหนดไว้คือ 3 กิโลเมตร จึงไม่สามารถใช้งานตรวจการณ์ได้และไม่พ้นระยะยิงจากพื้นดิน
ท่ามกลางข้อกังขามากมายของสังคม และเริ่มมีคำถามว่ากองทัพบกซื้อเรือเหาะมือ 2 มาหรือไม่?
แต่ 27 พฤษภาคม 2553 คณะกรรมการตรวจรับฯ กองทัพบก ได้ลงนามรับมอบ ‘บอลลูน’ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเรือเหาะ โดยกองทัพได้ชี้แจงยืนยันมาถึงความคุ้มค่าของเรือเหาะมาโดยตลอด
เรื่องของ ‘เรือเหาะ’ ถูกกองทัพปิดเป็นความลับ แต่ก็มีรายงานข่าวหลุดออกมาเป็นระยะถึงความไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งปัญหาผ้าใบเสื่อมสภาพ และมีรูรั่ว
ยุค พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. ได้จ้างบริษัทมาดูแลรักษาซ่อมบำรุง ปีละ 50 ล้านบาท และนำออกมาบินตรวจการณ์บ้างแต่ก็เกิดอุบัติเหตุควบคุมเรือเหาะไม่ได้จนต้องลงจอดฉุกเฉินอยู่บ่อยครั้ง
จนในที่สุด กองทัพบกในยุค พล.อ. เฉลิมชัย ก็ปิดตำนานเรือเหาะ หลังเข้าประจำการในกองทัพบกเป็นเวลา 8 ปี
