คู่มือใช้งาน Agentic AI โพสต์เดียวจบ
เทคโนโลยี Generative AI ได้วิวัฒน์อีกครั้ง และกำลังเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า Agentic ที่สามารถคิด วางแผน และ ‘ลงมือทำได้’ สิ่งนี้คืออะไร จะมาเปลี่ยนวิถีการทำงานของคุณได้อย่างไร The Secret Sauce มีคำตอบให้แบบโพสต์เดียวจบ
🟡 ระดับขั้นความฉลาดของ AI
เพื่อช่วยให้เราเข้าใจวิวัฒนาการของ Generative AI บริษัทอย่าง OpenAI ได้แบ่งระดับการพัฒนาออกเป็นขั้นๆ ดังนี้
Level 1: Chatbots – AI ที่เน้นการตอบสนองทางบทสนทนา พูดคุย และตอบคำถามทั่วไป
Level 2: Reasoners – AI ที่สามารถสื่อสาร วิเคราะห์ และแก้ปัญหาได้ใกล้เคียงมนุษย์
Level 3: Agents – AI ที่ไม่ใช่แค่ให้ข้อมูล แต่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์ได้
Level 4: Innovators – AI ที่ช่วยคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ
Level 5: Organizations – AI ที่สามารถทำงานเทียบเท่าทั้งองค์กรได้
ปัจจุบันแม้แต่โมเดลที่แข็งแกร่งอย่าง ‘o1 pro’ หรือ AI ชั้นนำอีกหลายตัวก็ยังคงอยู่ใน Level 2 คือเป็น ‘Reasoners’ ที่คิดวิเคราะห์และให้คำแนะนำได้ดี แต่ยังไม่อาจ ‘ลุกขึ้นไปดำเนินการ’ แทนเราได้โดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่าในปี 2025 เราจะก้าวเข้าสู่ยุคของ Level 3 หรือ ‘Agentic AI’ กันแล้ว
🟡 Agentic AI คืออะไร?
นพ.ปิยะฤทธิ์ อิทธิชัยวงศ์ แพทย์ประจำศูนย์นวัตกรรมข้อมูลศิริราช และ Co-founder PreceptorAI by CARIVA (Thailand) ฉายภาพไว้ว่า AI ในยุคก่อนหน้านั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้คำแนะนำ และเรียบเรียงความคิดราวกับว่าเป็น ‘ที่ปรึกษาส่วนตัว’ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในยุคปัจจุบันคือการที่ AI สามารถที่จะลุกขึ้นมาเป็นผู้ ‘ลงมือทำ’ เช่น หากเราต้องการที่จะนัดหมายการประชุมกับคู่ค้าทางธุรกิจ ในอดีตอาจต้องใช้ผู้ประสานงานในการโทรพูดคุย นัดหมาย และยิงคิวประชุม แต่ในปัจจุบันงานเช่นนี้สามารถที่จะจบได้ด้วย AI เพียงแค่ตัวเดียว
หรือหากคุณต้องการที่จะผลิตเสื้อยืดของบริษัท ในอดีต AI จะหยุดอยู่แค่การบอกว่าบริษัทสกรีนเสื้อรายไหนถูกหรือส่งของเร็ว Agentic AI อาจติดต่อผู้ผลิตหลายเจ้า ตรวจสอบค่าบริการ เปรียบเทียบระยะเวลาจัดส่ง และเลือกแบบเสื้อให้เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติ คุณไม่ต้องเสียเวลาต่อรองหรือลองผิดลองถูกด้วยตนเอง มันคือผู้ช่วยอัจฉริยะที่จัดการเบื้องหลังทุกอย่างให้เสร็จสรรพ
🟡 หลักการทำงาน Agentic AI
ขั้นตอนการทำงานของ AI ในระดับ Agentic นั้นมีอยู่ทั้งหมด 4 รูปแบบหลักๆ ที่ทำให้มีความแม่นยำและลงมือทำได้เหมือนมนุษย์
- Reflection Loops (การสะท้อนกลับเพื่อปรับปรุง)
Agentic AI จะไม่หยุดเพียงแค่ตอบครั้งเดียว แต่จะ ‘อ่าน’ ผลลัพธ์ที่ตนสร้างขึ้นมาเพื่อประเมินคุณภาพ จากนั้นจึงปรับปรุงคำตอบหรือแผนการทำงานของตนให้ดียิ่งขึ้น เป็นวงจรการทบทวนและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
- Tool Use (การใช้เครื่องมือและฟังก์ชันเสริม)
แทนที่ AI จะเป็นเพียงแหล่งให้ข้อมูล Agentic AI สามารถเรียกใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น API บริการภายนอก หรือการรันโค้ดเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น มันสามารถ ‘กระทำ’ งานในโลกดิจิทัลแทนมนุษย์ได้อย่างเป็นระบบ
- Planning (การวางแผนขั้นตอนการดำเนินงาน)
Agentic AI สามารถวางแผนขั้นตอนเป็นลำดับก่อน-หลัง เพื่อบรรลุภารกิจที่ซับซ้อน เมื่อได้รับโจทย์ที่ต้องแก้มันจะวางแผนแยกย่อยงานเป็นขั้นตอนต่างๆ และดำเนินการตามลำดับอย่างเป็นระบบ
- Multi-Agent Collaboration (ความร่วมมือระหว่างเอเจนต์หลากบทบาท)
แทนที่ AI จะทำงานแบบโดดเดี่ยว Agentic AI สามารถสร้าง ‘ทีม’ ภายในตัวเอง โดยให้เอเจนต์แต่ละตัวรับบทบาทแตกต่างกัน เช่น เอเจนต์หนึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ อีกเอเจนต์หนึ่งทำหน้าที่วิจารณ์ตรวจสอบ และเอเจนต์อีกตัวหนึ่งทำหน้าที่ลงมือปฏิบัติจริง การทำงานร่วมกันภายในเอเจนต์หลายตัวนี้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้น
🟡 คู่มือการใช้งาน Agentic AI
หนึ่งสิ่งที่จะเปลี่ยนไปในการใช้งาน AI ในยุค Agentic คือ ‘การใส่คำสั่งหรือการ Prompt’ โดยในอดีตหากเราต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน AI เราจำเป็นที่จะต้องใช้เทคนิคการ Prompt เพื่อให้ AI คิดเป็นระบบ
แต่สิ่งที่ AI ในยุค Agentic ต้องการคือการใส่คำสั่งที่ ‘ง่ายและชัดเจนที่สุด’ เนื่องจากเอเจนต์แต่ละตัวจะมีระบบความคิดในการทำงานที่ชัดเจนสำหรับงานในประเภทต่างๆ