หลังเมื่อวานนี้ (เสาร์ 16 มิ.ย.) ยอดทีมจากอเมริกาใต้ ‘อาร์เจนตินา ทำได้แค่พลาดท่าเสมอทีมน้องใหม่ในทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้อย่างไอซ์แลนด์แบบน่าผิดหวัง 1-1 วันนี้ (อาทิตย์ 17 มิ.ย.) จะเป็นคิวของเยอรมนี อดีตคู่ชิงฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว (2014) และบราซิล อริร่วมทวีปต้องลงเล่นแมตช์แรกประเดิมทัวร์นาเมนต์ในกลุ่ม F และ E ตามลำดับ
แมตช์ในวันที่ 4 นี้เริ่มต้นคู่แรกเป็นการพบกันของทีมชาติคอสตาริกาและเซอร์เบีย ในเวลา 19.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่องอมรินทร์ทีวี โดยก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ทีมยังไม่เคยเจอกันมาก่อน
สถิติที่น่าสนใจจากฝั่ง ‘กล้วยหอม’ คอสตาริกาจากฟุตบอลโลกครั้งที่แล้วที่บราซิล พวกเขาเสียแค่เพียง 2 ประตูจาก 5 เกม ก่อนจะแพ้จุดโทษในรอบก่อนรองชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย โดยคีย์แมนสำคัญในเกมนี้คือ ‘เคย์เลอร์ นาบาส’ ผู้รักษาประตูจอมผาดโผนวัย 31 ปีจากเรอัล มาดริด
ส่วนเซอร์เบียผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนยุโรป กลุ่ม D พร้อมสถิติทำประตูเฉลี่ยนัดละ 2 ลูก จุดแข็งอยู่ที่เกมแดนกลางที่มีผู้เล่นหุ่นสูงชะลูดอย่าง ‘เนมันยา มาติช’ (194 ซม.) และเซอร์เกย์ มิลินโควิช-ซาวิช (191 ซม.) คอยเก็บกวาดและลำเลียงบอลขึ้นไปในแดนหน้า
ความท้าทายของทั้งคอสตาริกาและเซอร์เบียคือการช่วงชิง 3 แต้มแรกมาเก็บไว้ในมือให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะต้องลำบากแน่นอน เพราะในนัดต่อๆ ไปจะต้องต่อกรกับทีมร่วมกลุ่ม E และเต็งแชมป์ในปีนี้อย่างบราซิล
เยอรมนีปะทะเม็กซิโก บทพิสูจน์การป้องกันแชมป์ของทัพอินทรีเหล็กเลือดใหม่โดยโยอาคิม เลิฟ
ฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว เยอรมนีสร้างปรากฏการณ์คว้าแชมป์สมัยที่ 4 ของประเทศไปได้สำเร็จ มาในปีนี้โจทย์ใหญ่ที่พวกเขาได้รับและจะต้องเดินหน้าทำให้สำเร็จคือการป้องกันแชมป์ไว้ให้ได้ โดยก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ทีมชาติอิตาลี (1934.1938) และบราซิล (1958.1962) เท่านั้นที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ
สถิติที่น่าสนใจอีกอย่างของทัพอินทรีเหล็กคือ ตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 2002 เป็นต้นมา พวกเขาสามารถทะลุเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศได้เป็นอย่างน้อยมาโดยตลอด ถือเป็นความกดดันเล็กๆ ที่โค้ช โยอาคิม เลิฟ ต้องเผชิญ
ขุมกำลังในทีมชุดปัจจุบันของเยอรมนีถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างผู้เล่นพลังหนุ่ม และผู้เล่นมากประสบการณ์จากทีมชุดเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไล่เลียงตั้งแต่ มานูเอล นอยเออร์, เมซุต โอซิล, ติโม แวร์เนอร์, โทนี โครส และโจชัว คิมมิช
แม้ฟอร์มการเล่นของทีมในระยะหลังๆ จะยังไม่เข้าร่องเข้ารอย เล่น 4 แพ้ 2 เสมอ 1 ตั้งแต่เปิดศักราชปี 2018 แต่ภาพรวมของทีมก็ยังดูเป็นต่อเม็กซิโก คู่แข่งในนัดนี้ และทีมร่วมกลุ่ม F อยู่พอสมควร โดยเฉพาะสถิติการพบกัน 11 ครั้ง ที่เยอรมนีชนะถึง 10 แพ้ไปแค่นัดเดียว ด้านความพร้อมล่าสุด จอมทัพอย่างโอซิลน่าจะฟิตพอลงช่วยสร้างสรรค์เกมให้ทีมได้
เลิฟได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มเกมไว้ว่า การเป็นแชมป์เก่าฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีที่แล้วไม่ได้สร้างความกดดันให้กับผู้เล่นในทีม สิ่งที่ลูกทีมของตนคิดเหมือนๆ กันในเวลานี้คือต้องชนะนัดเปิดสนามให้ได้
“แชมป์ปี 2014 ไม่ได้มีบทบาทอะไรกับเราเลย ความเครียดที่เราเป็น ‘ความเครียดในทางที่ดี’ สถิติที่คุณเคยชนะในนัดที่ผ่านมาไม่ได้มีผลอะไร ก่อนจะเริ่มแข่งนัดแรก ทุกๆ คนจะมีความเครียดเชิงบวกที่ว่านี้ คุณต้องการมันเพื่อเริ่มต้นและพิสูจน์ตัวเองในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก และมันก็ไม่สำคัญว่าคุณจะชนะหรือแพ้
“เป็นข้อเท็จจริงที่เราชนะนัดเปิดสนามมาหลายครั้ง ผมยอมรับว่าในการเตรียมตัวของพวกเราอาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ้าง สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือเกมนัดแรกของทัวร์นาเมนต์ และในเกมแรกพวกเราก็มักจะทำผลงานได้ดีเสมอ”
โค้ชทีมชาติเยอรมนีวัย 58 ปียังกล่าวถึงเม็กซิโกว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรด้วยยาก เพราะแข็งแกร่งในทุกขุมกำลังตำแหน่ง ขณะที่ ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ ก็ออกโรงเตือนเช่นกันว่าทีม ‘จังโก้’ อาจเล่นเพรสซิ่งทำให้ทีมตกภายใต้ความกดดัน
ส่วนเม็กซิโกจะนำมาโดยผู้เล่นคีย์แมนสำคัญอย่าง ‘เออร์วิง โลซาโน’ ที่ได้รับการจับตามองจากบรรดาแมวมองและสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป หลังฤดูกาลที่ผ่านมาระเบิดฟอร์มร้อนแรงให้พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ยิง 17 ประตูจาก 29 นัด นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นมากประสบการณ์วัย 39 ปี ‘ราฟาเอล มาร์เกซ’ คอยสอดแทรกเป็นกำลังเสริมอีกแรง
ฮวน คาร์ลอส โอโซริโอ โค้ชทีมชาติเม็กซิโก ให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยระบุว่า บางทีการลงเล่นในสนามกลาง และในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกเช่นนี้ ทีมของตนอาจจะเอาชนะเยอรมนีก็ได้ พร้อมกับช่วยคลายความกดดันลูกทีมว่า เกมในนัดนี้เป็นแค่แมตช์ธรรมดาๆ แมตช์หนึ่งเท่านั้น
“นักฟุตบอลเม็กซิโกที่จะได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกต้องทำความเข้าใจว่ามันก็เป็นแค่เกมฟุตบอลอีกนัดเท่านั้น ถ้าเราเข้าใจว่าการแข่งขันในพรุ่งนี้ก็เป็นแค่เกมฟุตบอลธรรมดาๆ เราก็มีโอกาสดีที่จะเอาชนะ
“ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเยอรมนีเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพมากๆ เมื่อพวกเขาได้ประตู พวกเขามีกองหน้าที่เก่งกาจ มีความว่องไว แต่เราก็จะไม่เปลี่ยนสไตล์การเล่นของทีมหรอกนะ”
เยอรมนีจะลงเผชิญหน้ากับเม็กซิโก เวลา 22.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง ททบ.5
ภารกิจสำคัญของทีมชาติบราซิล ทีมตัวเต็งอันดับ 1 และแชมป์โลกสูงสุด 5 สมัย
ทีมชาติบราซิลชุดนี้ได้รับความคาดหวังเป็นอย่างมากว่าจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 มาครองให้ได้หลังห่างหายไปถึง 16 ปีเต็ม (คว้าแชมป์สมัยล่าสุดได้ในปี 2002) เนื่องจากมีขุมกำลัง 11 ตัวจริงที่ ‘แน่นปึ้ก’ แทบจะทุกตำแหน่งตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้า
สถิติที่น่าสนใจของเซเลเซาภายใต้การนำทัพโดยตีเต้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2016 พวกเขาชนะได้ถึง 17 นัดจาก 21 แมตช์ และเสียไปแค่ 5 ประตูเท่านั้น ด้านสวิตเซอร์แลนด์คู่แข่งก็ไม่น้อยหน้า เพราะตั้งแต่ยูโร 2016 ที่ผ่านมาก็แพ้ไปแค่นัดเดียวให้กับโปรตุเกสและชนะมากถึง 9 นัด นำทัพมาโดยคีย์แมนอย่าง เซอร์ดาน ชากิรีและบรีล เอ็มโบโล
ขณะที่การพบกัน 8 ครั้ง บราซิลชนะได้ถึง 3 ครั้ง เสมอ 3 ครั้ง และแพ้ 2 ครั้ง นับเป็นสถิติที่ข่มกันไม่ลงจริงๆ
ตีเต้ให้สัมภาษณ์ถึงทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ไว้ว่า เป็นทีมที่เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น แต่ก็มีความวูบวาบในเกมรุกอยู่เหมือนกัน “เรารู้ว่าพวกเขาจะทำให้เราเล่นได้ยากแน่ๆ เกมระดับสูงเช่นนี้ย่อมทำให้คุณต้องยกระดับศักยภาพของตัวเองให้ดีขึ้น”
ฝั่งมาร์เชโล แบ็กซ้ายวัย 30 ปีจากสโมสรเรอัล มาริด บอกว่า “มันคือความท้าทาย และยังเป็นการรักษามาตรฐานของทีมไว้ พวกเรามีความคาดหวังที่ใหญ่มากๆ ในทุกๆ เกมเราต้องการจะรักษามาตรฐานและพัฒนาต่อไป
“พวกเราเล่นได้ดีในบางเกม แต่กลับเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็พยายามจะเล่นให้ดี”
ส่วน วลาดิเมียร์ เพ็ตโควิช โค้ชทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์วัย 54 ปี ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ยี่หระสไตล์การทำทีมให้เล่นกันสวยงาม แต่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการเก็บชัยชนะมากกว่า
“เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นบอลสไตล์สวยงาม แต่เรามาเพื่อคว้าชัย พวกเราจะจัดระเบียบในการเล่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เราจะต้องทำให้ทีมอย่างบราซิลเกิดข้อผิดพลาดเพื่อที่ทีมจะได้สร้างสรรค์โอกาส เราจำเป็นจะต้องยิงได้ 1 หรือ 2 ลูกเพื่อเอาชนะพวกเขา”
เกมในนัดนี้บราซิลจะลงแข่งกับสวิตเซอร์แลนด์ในกลุ่ม E เวลา 01.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่องอมรินทร์ทีวี (ช่วงเช้ามืดวันจันทร์ 18 มิ.ย.)
Photo: Reuters