วันนี้ (19 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 25 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1) ที่มี ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 ในฐานะประธานการประชุม เข้าสู่วาระการตั้งกระทู้ถามสด โดย ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการ โดยมี จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ตอบกระทู้แทน
ศิริกัญญากล่าวว่า โครงการดังกล่าวนั้นสร้างความสับสนให้กับประชาชน เนื่องจากปรับเปลี่ยนมาจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเดิมที่จะแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต มาเป็นการจ่ายเงินสดผ่านระบบพร้อมเพย์ให้แก่กลุ่มเปราะบาง และขอให้คนที่ยังไม่ได้ผูกบัญชีระบบพร้อมเพย์ไปผูกระบบพร้อมเพย์ จนเกิดเหตุการณ์ประชาชนจำนวนมากแห่เดินทางไปที่ธนาคาร จึงถามว่าเหตุใดจึงต้องมีความรีบร้อนให้ต้องจ่ายเงินให้ทันวันที่ 30 กันยายนนี้ จึงขอความชัดเจนว่าไม่มีปัญหาเรื่องกฎหมายใช่หรือไม่
ศิริกัญญากล่าวว่า เนื่องจากเอกสารที่เข้าคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงบประมาณได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เนื่องจากมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ให้กระทำได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้เงินระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรอให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้ คือ รัฐบาลต้องแจกเงินให้ได้ภายในวันที่ 30 กันยายนนี้ และมีการเสนอว่าให้เงินแก่ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14.98 ล้านคน เป็นโอกาสแรก
ศิริกัญญาถามเพิ่มเติมอีกว่า หากไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมาย ดัชนีที่จะเป็นตัวชี้ที่ไม่สามารถทำให้การแจกเงินเกิดขึ้นหลังวันที่ 30 กันยายนคืออะไร และเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจตัวใดที่ทำให้รัฐบาลเปลี่ยนใจจนทำให้ประชาชนต้องเร่ง โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าในระยะเวลาที่มากเพียงพอ
จุลพันธ์ชี้แจงว่า รัฐบาลเดินหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแก่ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการ ตามที่ได้ผ่านมติ ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เราเดินหน้าตามกระบวนการและวิธีของระบบราชการ โดยจะแจกเงินวันแรกในวันที่ 25 กันยายน ตามที่ได้ประกาศออกไป ส่วนเหตุผลที่แจ้งให้ผูกพร้อมเพย์ล่าช้านั้น เนื่องจากต้องรอให้เกิดความมั่นใจตามกระบวนการของระบบราชการ ทั้งการเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ไม่สามารถประกาศก่อนจะมีความชัดเจนซึ่งเป็นขั้นตอนตามกฎหมายได้
อย่างไรก็ตาม กระบวนการของการผูกกับระบบพร้อมเพย์นั้นมี 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคนพิการ ซึ่งมีการรับเงินเป็นรายเดือนอยู่แล้ว มีกระบวนการโอนเงินที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ 100% ส่วนกลุ่มที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีจำนวน 13.5 ล้าน อีกทั้งยังมีความซ้ำซ้อนกลุ่มคนพิการอีกประมาณ 1.1 ล้านคน และมีจำนวนกว่า 1 ล้านรายที่ยังไม่ได้ผูกระบบพร้อมเพย์ โดยยืนยันสำหรับกลุ่มที่ยังไม่ได้ผูกระบบพร้อมเพย์ว่าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ธนาคาร สามารถผูกระบบพร้อมเพย์ได้ที่ตู้เอทีเอ็ม อย่างไรก็ตาม หากมีประชาชนเดินทางไปยังธนาคารก็ต้องกราบขออภัย จากนี้จะปรับปรุงการสื่อสารให้ดีขึ้น
ส่วนสาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของโครงการนั้น จุลพันธ์กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของ ครม. ตั้งแต่ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จนถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ รัฐบาลรับฟังเสียงประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สะท้อนว่าอยากได้เป็นเงินสด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ง่ายขึ้น
จุลพันธ์ชี้แจงต่อว่า การรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลได้ตัดสินปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นชื่อโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 เนื่องจากการจ่ายเงินในรอบแรกเป็นการกระตุ้นโดยเงินสด ไม่ใช่ดิจิทัลวอลเล็ต ส่วนเฟสต่อไปก็ยังคงเดินหน้าทำดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อให้ได้อีกประโยชน์คือการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
ส่วนการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นเรื่องของข้อกฎหมายหรือไม่นั้น จุลพันธ์ชี้แจงว่า รัฐบาลรับฟัง แม้จะมีการยกหนังสือของสำนักงบประมาณที่เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. นั้น ยืนยันว่ามีการรับฟังร่วมกันตั้งแต่ในชั้นของคณะกรรมาธิการแล้ว ขณะเดียวกันสำนักงบประมาณเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ยืนยันว่าสามารถดำเนินการให้ผูกพันข้ามปีได้ ยืนยันว่ารัฐบาลยังคงมีความมั่นใจ แต่เราไม่อยากให้มีปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากเวลานี้ในประเทศเต็มไปด้วยนักร้อง ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นมุมมองทางกฎหมายที่เรามองกันคนละเหลี่ยม เราจะพยายามจำกัดความเสี่ยงต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือสำนักงบประมาณก็ยืนยันว่าสามารถทำได้
“หากมีการร้องขึ้นมาทำให้เกิดสถานการณ์ทางการเมือง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ความเสี่ยงของรัฐบาล แต่จะกระทบกับปากท้องของประชาชนทั้งหมด เนื่องจากไม่มีเสถียรภาพในอนาคตของรัฐบาล สังคมจะเกิดความไม่มั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราเห็นถึงผลกระทบในเชิงลบ จึงพยายามที่จะลดข้อจำกัด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลการปรับเปลี่ยนมาเป็นวิธีการนี้ เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้
ศิริกัญญาถามต่อว่า ประชาชนที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบางที่ได้ลงทะเบียนไปแล้วจะมีการแจกเมื่อไร แจกกี่คน แจกกี่ครั้ง แจกกี่บาท และการเลื่อนการลงทะเบียนสำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน เลื่อนไม่มีกำหนดจริงหรือไม่ และจะเลื่อนไปถึงเมื่อไร หากต้องดูสถานการณ์จะต้องดูจากตัวชี้วัดใด ขณะนี้มีผู้ที่มีสิทธิทั้งกลุ่มเปราะบางและไม่เปราะบางราว 40 ล้านคน โดยใช้งบประมาณ 3.4 แสนล้านบาท แหล่งที่มาของเงินจะมาจากไหน เนื่องจากรัฐมนตรีระบุว่าจะไม่มีการใช้งบประมาณซึ่งใช้สำหรับการสำรองจ่ายฉุกเฉิน
จุลพันธ์กล่าวยืนยันว่า การปรับเปลี่ยนการลงทะเบียนของกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนนั้น เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความสับสน เพราะการแจกเงินในกลุ่มแรกเป็นช่วงวันและเวลาเดียวกัน อาจทำให้มีการลงทะเบียนซ้ำและก่อให้เกิดความสับสนได้
สำหรับการแจกเงินในเฟส 2 นั้น จุลพันธ์ยืนยันว่า รัฐบาลมีงบประมาณในปี 2568 ที่เตรียมไว้แล้วถึง 1.87 แสนล้านบาท เมื่อเรามีงบประมาณอยู่แล้ว ก็ต้องเดินหน้าที่จะใส่เงินเข้าไปในระบบดิจิทัลวอลเล็ตให้ครบถ้วน ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 36 ล้านคน แต่ยังไม่มีการคัดกรอง ไม่ว่าตัวเลขจะเป็นเท่าไรก็ตาม เราจะบริหารจัดการด้วยงบประมาณที่มี และยืนยันว่าเรามีแนวทางที่จะเติมเงินโดยยึดผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีผู้มาลงทะเบียนจำนวนมาก รัฐบาลมีแนวทางที่จะแบ่งจ่าย แม้ว่าประชาชนบางส่วนจะไม่พอใจ แต่เรามองถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติเป็นหลัก ขณะนี้รูปแบบของโครงการนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มีการเติมครั้งเดียวเพื่อให้เกิดโมเมนตัมที่มีแรงกระแทกสูง แต่เมื่อเราเห็นว่าโครงการนี้ต้องปรับเปลี่ยนเป็นระลอก ต้องรักษาโมเมนตัมให้เศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง
ขณะนี้ขอให้รอความชัดเจนการลงทะเบียนอีกครั้ง แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เลื่อนเวลาไปนาน และไม่ได้เลื่อนจากปัญหาของระบบ โดยจะเปิดให้กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียนในเดือนตุลาคมนี้ และเมื่อเห็นตัวเลขที่ชัดเจนแล้ว จะแสดงความชัดเจนให้เห็นว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ผ่านคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งตั้งใหม่โดยนายกฯ โดยจะพิจารณาเม็ดเงินดังกล่าวนี้
จุลพันธ์ยืนยันว่า โครงการเราต้องบรรลุวัตถุประสงค์การกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลให้กับประเทศไทย และเงิน 10,000 บาทต้องถึงมือพี่น้องประชาชนอย่างครบถ้วน ทั้งกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่ลงทะเบียนในรูปแบบที่มีสมาร์ทโฟน และไม่มีสมาร์ทโฟน