ย้อนไป 12 ปีที่แล้ว เนม-ปราการ ไรวา, นาฑี-นาฑี โอสถานุเคราะห์, นต-ปณต คุณประเสริฐ, และไปร์ท-คมฆเดช แสงวัฒนาโรจน์ รวมตัวเป็นวงดนตรี Getsunova และมีเพลงเท่ๆ อย่าง ปล่อย, เศษส่วน, รูปภาพ และรอยจูบ ออกมา แต่สุดท้ายพวกเขาต้องตกหลุมอยู่กับ ‘ภาพจำ’ ของการเป็น ‘วงดนตรีมีเงิน’ ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ มองข้ามทักษะทางด้านดนตรี และหันไปมองเรื่องพื้นฐานครอบครัวของทั้ง 4 คนแทน
แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือเลือกที่จะเงียบ และพิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานเพลงอย่างตั้งใจและอดทน จนเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี พวกเขามีเพลง ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ที่ทำให้ทุกคนเริ่มมองไปที่ฝีมือจริงๆ และพวกเขาก็ยังไม่หยุดที่จะส่งเพลงฮิตอย่าง คนไม่จำเป็น, อยู่ตรงนี้ นานกว่านี้, แตกต่างเหมือนกัน ฯลฯ และอีกหลายเพลงที่เปลี่ยนนามสกุลจากวงดนตรี ‘พันล้านบาท’ กลายเป็นวงดนตรี ‘พันล้านวิว’ พ่วงท้าย
พร้อมกับสตูดิโออัลบั้มแรก The First Album ที่อดทนรอถึง 10 ปี และล่าสุด ความฝันอีกหนึ่งอย่างของพวกเขากำลังจะเกิดขึ้นจริง กับคอนเสิร์ตใหญ่ ‘Getsunova Concert Atmosphere’ ที่ต้องใช้เวลา 12 ปีในการมาถึง เป็นคอนเสิร์ตที่พวกเขาตั้งใจให้ทุกคนมาทะยานออกไปไกลจากพื้นโลกพร้อมกัน ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้
12 ปีกับการพิสูจน์ตัวเองของ ‘วงดนตรีคนมีเงิน’
ไปร์ท: ทุกวันนี้ก็ยังมีเงินอยู่นะครับ แต่เป็นเงินที่หามาด้วยตัวเอง ไม่ได้มีใครหามาให้แล้ว
เนม: ย้อนกลับไปไม่มีใครผิดเลยนะครับที่จะพูดอย่างนั้น เพราะมันคือเรื่องจริง มันอยู่ใน DNA ซึ่งพวกเราไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว ช่วงแรกๆ อาจจะมีบ้างที่รู้สึกว่าทำไมคนถึงไปสนใจเรื่องนั้น แล้วไม่มองที่เพลงของพวกเรา แต่ตอนนี้พูดได้เลยว่าผมยินดีที่จะต้อนรับคำพูดแบบนั้นด้วยซ้ำ ที่บ้านมีเงินก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะปฏิเสธทำไม (หัวเราะ) มันทำให้คนจำพวกเราได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่พวกเราทำคือพยายามทำงานเพลงออกมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองออกมาเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด
นาฑี: อย่างหนึ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเจนคือ ตอนที่คนรู้จักแบบนั้น มันไม่ได้ทำให้เราดังหรือประสบความสำเร็จในด้านดนตรี เพราะฉะนั้นการมีเงินกับประสบความสำเร็จมันไม่เกี่ยวกันเลย ตอนที่เพลงไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ออกมา ตอนนั้นคนแทบจะลืมพวกเราแล้วด้วยซ้ำ แล้วพอเพลงนี้ออกมา ทุกคนก็ชอบที่ตัวเพลงจริงๆ บางคนอาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำมั้งว่าที่บ้านพวกผมเป็นยังไง (หัวเราะ) แล้วเราก็พิสูจน์ตัวเองด้วยเพลง ด้วยดนตรีของพวกเรามาตลอดจนถึงตอนนี้
ณต: ผมลองคิดกันเล่นๆ ว่าถ้าพวกเราไม่ได้มีพื้นฐานแบบนี้ พวกเราจะเป็นยังไง ผมว่าพวกเราก็จะยังทำเพลงของพวกเราเหมือนเดิมล่ะครับ เพียงแต่ว่าภาพลักษณ์ของวง เนื้อเพลง สไตล์ดนตรีอาจจะไม่ใช่แบบนี้ เพราะพื้นฐานที่มีทำให้พวกเรามาเจอกันในสถานที่ ในสถานะ ในบรรยากาศแบบหนึ่ง มีความชอบ ความสนใจในแบบที่คล้ายๆ กัน มันเลยคุยกันง่ายว่าถ้าจะทำเพลงด้วยกันมันควรจะออกมาเป็นแบบไหน เพราะฉะนั้นพื้นฐานอื่นๆ คงไม่ได้มีผลให้เพลงเราดัง แต่มีผลที่ทำให้พวกเราเป็น Getsunova ที่มีความสนใจ มีการแต่งตัว มีสไตล์เพลง มีเรื่องที่อยากจะเล่าแบบนี้
คอนเสิร์ตพาคนดูเดินทางไปใน ‘ชั้นบรรยากาศ’ ที่แตกต่างกัน
ณต: จุดเริ่มต้นของคำว่า ชั้นบรรยากาศ เพราะพวกเราเชื่อว่าเพลงหรือดนตรีมันคือการสร้างบรรยากาศให้กับคนฟัง เป็นบรรยากาศที่ไม่ใช่แค่ความสุขหรือสนุก แต่รวมถึงความเศร้า ความคิดถึง ความผูกพัน การลาจาก ฯลฯ แล้วเราเชื่ออีกว่าชีวิตมนุษย์คือการเดินทางไปมาระหว่างบรรยากาศต่างๆ เหล่านี้ ในเพลงของพวกเราก็จะเกี่ยวกับระยะทางหรือการเดินทางอยู่บ่อยๆ เช่น อีกไกลแค่ไหน คือ ใกล้, คนไม่จำเป็นต้องเดินจากไป ซึ่งในคอนเสิร์ตก็จะแบ่งเป็นชั้นบรรยากาศ 4 ชั้นที่แตกต่างกัน และเราจะพาคนดูเดินทางไปสำรวจระหว่างชั้นต่างๆ ไปพร้อมๆ กับพวกเรา
เนม: คอนเสิร์ตใหญ่คือเป็นไมล์สโตนอีกอันที่สำคัญมากๆ ของวงเราเลยนะครับ จริงๆ มีคนมาบอกให้ทำคอนเสิร์ตใหญ่ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วพร้อมกับที่อัลบั้มแรกออกมา แต่พวกเราคิดว่าตอนนั้นยังไม่พร้อมทั้งในเรื่องฝีมือ ประสบการณ์และจำนวนเพลง ถ้ายังต้องเล่นคัฟเวอร์เพลงของคนอื่นอยู่ แล้วจะเรียกว่าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ของ Getsunova ได้ยังไง เพราะฉะนั้นเลยพอมั่นใจได้ว่า คอนเสิร์ตนี้พวกเราตั้งใจกันมาจริงๆ ยอมเสียโอกาสที่อยากได้มากนาน เพื่อรอให้ทุกอย่างพร้อมที่สุด เพื่อที่จะแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นยังไง และพวกเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกบ้าง
ณต: สิ่งหนึ่งที่พวกเราตื่นเต้นกับคอนเสิร์ตใหญ่มากๆ เพราะเวลาไปเล่นตามงานต่างๆ มีเพลงเก่าๆ หลายเพลงที่เราชอบ แล้วเราจะรู้สึกผิดกับคนดูเวลาเล่นออกไปแล้วไม่มีใครร้องตามได้ พวกเราคิดว่าในฐานะเอ็นเตอร์เทนเนอร์ต้องรับผิดชอบความสนุกของคนดู เราเลยเลือกที่จะเล่นเพลงที่ทุกคนร้องตามได้แน่ๆ แต่ในคอนเสิร์ตใหญ่ มันเป็นพื้นที่ของพวกเราจริงๆ และเราจะขออนุญาตเอาเพลงพวกนั้นกลับมาเล่นอีกครั้ง แต่หวังว่าทุกคนจะร้องตามกันได้มากขึ้นแล้วนะครับ (หัวเราะ)
ภาพที่อยากให้เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิต
ณต: มันมีภาพตอนเล่นคอนเสิร์ตแรกๆ ในยุคเพลงกล่อม เศษส่วน รอยจูบ ที่ไปเล่นที่ไหนก็ไม่มีคนร้องได้เลย ในฐานะศิลปินมันเป็นภาพที่ฝังใจพวกเราเหมือนกันนะครับ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ก็อยากให้ภาพนั้นหายไป อยากให้ทุกคนสามารถร้องเพลงเก่าๆ ทุกเพลงของพวกเราได้ด้วย
ไปร์ท: ผมเคยไปดูคอนเสิร์ตของ Two Doors Cinema Club แล้วรู้สึกอิ่มใจมาก กระโดดเป็นบ้าเป็นหลัง ร้องตามได้ทุกเพลง พอจบคอนเสิร์ตแล้วเดินออกมาด้วยความแฮปปี้ มันคือที่สุดของการดูคอนเสิร์ตแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คนดูรู้สึกแบบนั้นในคอนเสิร์ตของพวกเรา
เนม: ของผมคล้ายๆ กันนะ แต่ผมคิดถึงความรู้สึกของเพื่อนสนิทที่ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน กอดคอกันร้องเพลง กลับมาก็คุยกันถึงคอนเสิร์ตนั้น เอามาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อนำไปใช้ในงานต่อๆ ไปของเรา เหมือนศิลปินหลายวงอย่าง Two Door Cinema Club ที่ไปร์ทบอกก็ใช่เลย พอดูจบแล้วมันฮึกเหิม อยากทำแบบนั้นให้ได้
นาฑี: ผมชอบคอนเสิร์ตของพี่ๆ วง Paradox มากครับ รู้สึกว่าพวกเขามีพลังที่จะมอบความสุขให้กับคนดูเยอะมาก และทุกครั้งที่ผมดูคอนเสิร์ตของพวกเขาก็จะรู้สึกสนุกมากๆ ก็อยากให้ความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นกับคนดูของพวกเราบ้าง
ภาพที่คิดถึงตลอดการเดินทางบนเส้นทางสายดนตรี
นาฑี: ผมคิดถึงช่วงที่เล่นคอนเสิร์ต Big Mountain ครั้งแรก แล้วต้องเล่นตอนบ่ายที่ไม่มีคนดูเลย จำความตื่นเต้นในตอนนั้นได้ดี แล้วพอเวลาผ่านไป เราก็ได้ขยับไปเล่นในเวลาที่ดี มีคนดูมากขึ้น ก็รู้สึกว่าพวกเราเดินทางมาไกลเหมือนกัน แล้วก็อยากขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่กับพวกเรามาตลอด ยังยืนรอพวกเราที่เดิมไม่ไปไหน เพราะอย่างนี้ด้วยมั้งทำให้ Big Mountain เป็นเวทีที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น หายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านเวทีใหญ่ๆ มากี่ครั้งแล้วก็ตาม
ไปร์ท: ผมคิดถึงจุดเริ่มตอนพวกเราตั้งวงกันใหม่ๆ ยังไม่มีเพลงของตัวเอง แล้วต้องฝึกคัฟเวอร์เพลงของคนอื่น แล้วเล่นดนตรีที่บ้านนาฑีหรือตามงานปาร์ตี้ต่างๆ แบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องแคร์อะไร ซึ่งมันคือจุดเริ่มต้นให้พวกเราเดินทางมาถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกนั้นสำคัญนะครับ การเล่นแบบไม่คิด ไม่ต้องรับผิดอะไร เป็นความสดใหม่ มีพลังพลุ่งพล่าน ที่ทุกวันนี้พวกเราทำไม่ได้แล้ว
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเล่นดนตรีในเรือนจำ
เนม: ไม่นานมานี้พวกเราได้ไปเล่นคอนเสิร์ตให้นักโทษที่เรือนจำหวัดอ่างทองมา แล้วเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยคิดมาก่อน คือเวลาได้ยินคำว่าคุกหรือเรือนจำ เราจะคิดภาพไปก่อนว่ามันน่ากลัวใช่ไหมครับ แต่เชื่อไหมว่าพอเข้าไปถึงความรู้สึกเราเหมือนไปเล่นแคมปัสทัวร์ตามโรงเรียนต่างๆ เลย อาจจะต่างกันแค่เป็นโรงเรียนที่มีรั้วกั้น และมีคุณครูถือกระบองกับ 9 มม. เฝ้าอยู่แค่นั้นเอง (หัวเราะ)
ไปร์ท: พอเล่นเสร็จจะมีช่วงไปจับมือนักโทษตัวจี๊ดที่อยู่ด้านนอก สำหรับผู้คุมนักโทษกลุ่มนี้อาจต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แต่จากสายตาของผม จากการจับมือ ไม่รู้นะ แต่ไม่รู้สึกว่าพวกเขาน่ากลัวเลย ถ้าไม่นับเรื่องมือที่หยาบกร้านเพราะผ่านอะไรมาเยอะ เขาก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ที่ต้องการความสุข ชอบฟังเพลงไม่ต่างอะไรจากพวกเราเลย บางคนเดินมาบอกว่า พี่ครับ ปีหน้าผมจะออกจากที่นี่ แล้วผมจะไปดูคอนเสิร์ตของพวกพี่ข้างนอกให้ได้นะครับ โห เวลาได้ยินอะไรแบบนี้มันดีมากจริงๆ นะครับ
ณต: ถ้าเล่นคอนเสิร์ตตามปกติ เวลามีคนยื่นดอกไม้มาให้ ผมจะขอเล่นให้เสร็จก่อน แล้วค่อยรับทีเดียว แต่การเล่นในนี้ต่างกัน เพราะดอกไม้ที่เขาเอามาให้ ดูข้างนอกมันไม่มีอะไรพิเศษเลยนะ แต่เขาต้องฝากญาติพี่น้องซื้อจากข้างนอกมาให้ หรือเอาเงินที่ควรจะได้เอาไปซื้อของกิน ไปทำให้ชีวิตในเรือนจำสบายขึ้นอีกหน่อย มาซื้อพวงมาลัยยื่นมาให้เรา ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือ ต้องปล่อยกีตาร์แล้วรับดอกไม้จากมือเขาตอนนั้นเลยนะ แล้วน้ำหนักที่เรารู้สึกมันหนักมาก กับพวงมาลัยหนึ่งพวง หรือดอกไม้หนึ่งดอก มูลค่ามันเยอะกว่าปกติ และทำให้เรากลับมาคิดว่าการเล่นคอนเสิร์ตแต่ละครั้งมันอาจจะมีความหมายกับใครคนหนึ่งมากๆ ทำให้เราต้องกลับมาตั้งใจให้มากขึ้นในทุกๆ ครั้งที่ออกไปแสดง
- Getsunova Concert Atmosphere จัดแสดงในวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561 ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เปิดขายบัตรแล้ววันนี้ที่ ThaiTicketMajor.com บัตรนั่งราคา 3,000 บาท 2,000 บาท และบัตรยืน 1,300 บาท