หลักทรัพย์บัวหลวงชี้ ตลาดหุ้นไทย 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ยังผันผวนต่อเนื่อง ปรับลดเป้าหมายปลายปีนี้ลงมาที่ 1,396 จุด หลังส่งออกไทยยังเสี่ยงจากหลายประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ พร้อมแนะลดความเสี่ยงจัดพอร์ตแบบตั้งรับ เน้นลงทุน ‘ตราสารหนี้’ ระยะสั้นและยาวมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยง ชูบริการ BLS Top Funds Portfolio ที่มีมืออาชีพคอยดูแลปรับพอร์ตอัตโนมัติ โชว์ผลตอบแทนสูงสุด 7.60% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน (ตัวเลข ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2567) สร้างผลงานรั้งท้ายตลาดหุ้นเอเชีย หากเปรียบเทียบผลตอบแทนบนสกุลเงินท้องถิ่น โดยให้ผลตอบแทน -6.1% เมื่อเทียบตลาดหุ้นในเอเชียที่มีผลตอบแทนสูงสองหลักขึ้นไป โดยตลาดหุ้นไต้หวันให้ผลตอบแทนสูงสุด +25%, ญี่ปุ่น +14% และเวียดนาม (ดัชนี VN30) +15% ขณะที่ตลาดหุ้นจีน -3.6%
“ตลาดหุ้นไทย Underperform ต่อเนื่อง 2 ปีติด โดยในช่วงกลางปีนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 10-12% หลังกำไร บจ. ครึ่งปีแรกขยายตัวเพียง 3% (โตต่ำกว่าคาด) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดจะโต 14% ผลจากการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่งออกมาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลยังโฟกัสอยู่ที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ขณะที่ยังมีอีกหลายปัญหาที่ต้องแก้ไข ทั้งเรื่องสินค้าราคาต่ำของจีนทะลักเข้าไทย ทำให้ธุรกิจ SMEs ของไทยมีปัญหา” ชัยพรกล่าว
หั่นเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ อยู่ที่ 1,396 จุด
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2567 ทีมงานวิจัยหลักทรัพย์ได้ปรับลดเป้าหมายปลายปีนี้ลงมาที่ระดับ 1,396 จุด จากเดิมที่คาดเป้าหมายปีนี้ที่ระดับ 1,466 จุด ซื้อขายบน Forward P/E 15.60 เท่า และคาดกำไร บจ. รวมเติบโต 7.5% แม้แนวโน้มกำไร บจ. ครึ่งปีหลังจะได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่กลุ่ม Domestic ยังคงต้องพึ่งพิง Demand ภายในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าเป็นหลัก เช่น ธุรกิจก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์, สื่อโฆษณา และการเงินเพื่อการบริโภค ที่ภาพรวมยังดูไม่ค่อยดี ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง ด้านการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ที่กำลังเผชิญหน้ากับ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
“เป้าหมายดัชนีปลายปี 2567 เรายังไม่ได้รวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังต้องติดตามข่าวการปรับเปลี่ยนการแจกเป็นเงินสด ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ เบื้องต้นมีมุมมองว่าการแจกเงินสดเป็นการเติมเงินเข้าระบบที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ 0.3% จากที่คาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ระดับ 2.6% อย่างไรก็ดี เราหวังจะเห็นนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาลออกมาเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ” ชัยพรกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามมีหลายเรื่อง เช่น เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจเข้มข้นขึ้น หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งปลายปีนี้จะส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบด้านลบตามไปด้วย, เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่เติบโตแบบชะลอตัว, เรื่องความมั่นคงทางการเมืองและการดำเนินนโยบายต่อเนื่องของภาครัฐ, เรื่องสงครามทั่วโลกที่ยังเป็นความเสี่ยง และเรื่องความท้าทายของการเปลี่ยนแพลตฟอร์มการค้าขายสู่ระบบ AI
ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ตอนนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อต่ำและการเติบโตของเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แต่คาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยตามหลังสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.75% รวม 3 ครั้ง หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในช่วงเติบโตแบบชะลอตัว และในปี 2568 มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงต่อ ขณะที่อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ค่อยๆ สูงขึ้น
ชัยพรกล่าวต่อว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบบตั้งรับอย่างเต็มตัว เพื่อรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหลายประเทศคู่ค้าของไทยที่เติบโตชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ต่างๆ เกิดความผันผวนได้
ลดน้ำหนักลงทุนหุ้น เพิ่มตราสารหนี้
โดยล่าสุด ทีมงานวิจัยหลักทรัพย์ได้ปรับลดน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่ที่สัดส่วน 20% จากต้นปี 2567 อยู่ที่ราว 60-80% และเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในสัดส่วน 80% ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามแนะให้ลดน้ำหนักการลงทุน จาก 13% เป็น 9%, ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะให้ลดจาก 12% เป็น 6% ส่วนตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่นแนะขายไปก่อน ขณะที่หุ้นไทยให้น้ำหนักการลงทุนสัดส่วนต่ำ 2% ของพอร์ตรวม