เกิดอะไรขึ้น:
การที่งบประมาณไม่เพียงพอซึ่งส่งผลทำให้มีการปรับลดการจ่ายเงินประกันสังคม (SC) สำหรับค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) สำหรับการให้บริการในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 ส่งผลกระทบตามมาต่อการดำเนินงานของ BCH ทำให้บริษัทต้องปรับลดรายได้ออกใน 4Q66 และ 2Q67 ตามลำดับ สำหรับการให้บริการในปี 2567 BCH ได้รับเงินตามอัตราที่กำหนดที่ 12,000 บาท/RW จนถึงเดือนเมษายน 2567 BCH เผยว่าบริษัทจะบันทึกรายได้ค่า RW>2 ที่ 12,000 บาท/RW สำหรับ 1Q-3Q67 แต่จะบันทึกรายได้ค่า RW>2 ตามหลักความระมัดระวังที่ 7,200 บาท/RW ใน 4Q67 (ซึ่งเป็นอัตราการจ่ายจริงสำหรับเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566)
ตามหลักความระมัดระวังในกรณีที่งบประมาณอาจไม่เพียงพออีกครั้งในปี 2567 InnovestX Research มองว่าจะทำให้กำไรปกติใน 4Q67 ของ BCH ลดลงทั้ง YoY และ QoQ โดยปรับประมาณการกำไรปกติของ BCH ลดลง 6% ทั้งปี 2567 และปี 2568 เพื่อสะท้อนการปรับเปลี่ยนการรับรู้รายได้ดังกล่าวเมื่อพิจารณาเป็นรายปี ใช้สมมติฐานว่าการจ่ายค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงโดยเฉลี่ยจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 10,800 บาท/RW ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
แนวทางการลดผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าว งบประมาณสำหรับค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่ไม่เพียงพอนั้นเกิดจากความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่สูงกว่าคาด ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ BCH กล่าวว่าโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการประกันสังคมและสำนักงานประกันสังคมจะร่วมมือกันหาทางออก เช่น การรับประกันอัตราการจ่ายเงินให้เหมาะสมกับความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยโรงพยาบาลเอกชนมีความสำคัญอย่างมากในการดูแลรักษาผู้ประกันตนภายใต้ระบบ SC โดย BCHคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ ก่อนที่โรงพยาบาลเอกชนจะเซ็นสัญญาสำหรับการให้บริการ SC ในปี 2568
InnovestX Research ยังคงมุมมองว่ากำไรของ BCHมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2568 โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก: การขยาย/ปรับปรุงโรงพยาบาลในปี 2567-2568, การอัปเกรดโรงพยาบาลใน 1Q68: โรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี เป็น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี, การเพิ่มบริการใหม่ๆ: เปิด ศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี (3Q67, BCHถือหุ้น 51%) และบริการทันตกรรมเคลื่อนที่ (3Q67, BCHถือหุ้น 60%)
และการดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้นที่โรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง: โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCHปรับลง 10.5% สู่ระดับ 15.40 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 4.48% สู่ระดับ 1,365.72 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
Valuation ที่ลงมาลึกสะท้อนประเด็นลบแล้ว โดยมองว่าราคาหุ้น BCHปรับตัวลดลงมาแล้ว 21% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 2568 ระดับ 21 เท่า หรือระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต สะท้อนประเด็นลบแล้ว ปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจะมาจากข้อสรุปเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งจะช่วยปลดล็อก Overhang ของ BCHจากการปรับเปลี่ยนอัตราการจ่ายเงินของสำนักงานประกันสังคม
InnovestX Research ยังคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ BCHโดยปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ใหม่เป็น 21 บาทต่อหุ้น (ลดลงจาก 23 บาท) อิงกับ WACC ที่ 7% และการเติบโตระยะยาวที่ 3%
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การปรับอัตราการเบิกจ่ายสำหรับโครงการประกันสังคม จำนวนผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการชะลอตัวลง และภาระต้นทุนที่โรงพยาบาลใหม่ ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือ ความปลอดภัยของผู้ป่วย (S) ซึ่ง BCHได้นำเอาระบบบริหารคุณภาพต่างๆ มาใช้สำหรับกระบวนการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง