×

เทียบฟอร์ม 10 บริษัทผู้ยิ่งใหญ่หลังซับไพรม์กับปัจจุบัน

25.08.2024
  • LOADING...

ภายในระยะเวลา 16 ปี หลังจากวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบกับตลาดการลงทุนไปทั่วโลก ภาพบริษัทและอุตสาหกรรมที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้นำ’ ในตลาดโลกก็เปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้มาจากวิกฤตการเงินเพียงปัจจัยเดียว แต่มีปัจจัยการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทกับบริษัท ทำให้สามารถไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปได้ โดยเราเห็นได้จากการที่บริษัทเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลกับตลาดหุ้นมากขึ้น

 

THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมข้อมูลรายได้บริษัท 10 อันดับแรกของโลกระหว่างปี 2008 จากข้อมูลของ CNN Global 500 กับปี 2024* จาก Investopedia เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและเทรนด์ในตลาดระหว่าง 16 ปีที่แล้วกับในช่วงเวลาปัจจุบัน

 

สำหรับในช่วงปี 2008 บริษัทที่กอบโกยรายได้มากที่สุดคือยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะแหล่งค้าปลีกที่มีสินค้าแบบ ‘สากกะเบือยันเรือรบ’ เนื่องจากความหลากหลายของสินค้าที่มีจำหน่ายอยู่ในห้างของ Walmart ทำให้ในปีนั้นบริษัทมียอดขายทั้งหมดรวม 3.79 แสนล้านบาท

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจของปี 2008 คือการที่บริษัท 10 อันดับแรกของโลกส่วนมากเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น Exxon Mobil, Royal Dutch Shell, BP, Chevron, TotalEnergies และ ConocoPhillips รวมกันมากถึง 6 ราย โดยสาเหตุที่ธุรกิจกลุ่มพลังงานทำได้ดี ณ เวลานั้นเป็นเพราะราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แตะระดับ 147 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทน้ำมันสามารถทำเงินมหาศาลเป็นผลพลอยได้กับนักลงทุนในบริษัทเหล่านั้นด้วย

 

นอกจากนี้บริษัทที่เหลือมีกลุ่มยานยนต์ 2 ราย คือ Toyota Motor และ General Motors กับอีกหนึ่งสถาบันการเงินสัญชาติเนเธอร์แลนด์อย่าง ING Group ที่เผชิญกับผลกระทบระหว่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

 

ขยับมากันที่ปี 2024 บริษัทที่ยังครองเบอร์หนึ่งรายได้สูงสุดคือยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเจ้าเดิม Walmart ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีร้านค้าครอบคลุมจนชาวอเมริกันกว่า 90% สามารถเข้าถึงศูนย์การค้าได้ในรัศมี 16 กิโลเมตร รวมถึง Walmart ได้ขยายสาขาไปทั่วโลก พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางออนไลน์การเข้าถึงของลูกค้าที่มากขึ้น

 

ในส่วนของบริษัทเทคโนโลยี Amazon และ Apple ผงาดขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 และ 6 ตามลำดับ จากความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้เวลาส่วนใหญ่หรือแม้แต่ซื้อของบนออนไลน์แพลตฟอร์มมากกว่าในช่วงปี 2008

 

หลายบริษัทที่ขยับเข้ามาอยู่ในลิสต์ 10 อันดับแรกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงแค่ Exxon Mobil ที่รั้งท้ายจนเกือบจะหลุดออกจากลิสต์ แต่ที่น่าสนใจคือสองบริษัทพลังงานในลิสต์เป็นบริษัทจากจีน สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของจีนในเวทีโลก

 

ในฝั่งของมุมมองการลงทุน Amazon และ Apple สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 4,233% และ 3,257% ตามลำดับ ในระหว่างปลายปี 2008 จนถึงช่วงกลางปี 2024* ถือเป็นสองบริษัทบิ๊กเทคที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวแม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทที่สร้างรายมากที่สุดก็ตาม การปรับตัวขึ้นในอัตราเร่งที่ก้าวกระโดดของ Amazon และ Apple รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ ทำให้เม็ดเงินพอร์ตของนักลงทุนหลายคนเติบโตแบบก้าวกระโดดไปด้วย สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

การปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับกระแสโลกเป็นสิ่งสำคัญมาก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา จากการที่บริษัทพลังงานผู้เคยครองตลาดกำลังค่อยๆ ถูกชิงตำแหน่งโดยบริษัทเทคโนโลยี

 

ดังนั้นการรู้ให้เท่าทันแนวโน้มตลาดและปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นหัวใจสำคัญให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน และไม่พลาดโอกาสการเติบโตท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้

 

สำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนเกาะกระแสไปกับการเติบโตของธุรกิจใหม่ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF Onshore Fund) หรือกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรง (Direct Offshore Fund) ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ในต่างประเทศ (Offshore Investment) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกับ UOB หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking

 

 

*หมายเหตุ: ข้อมูลของปี 2024 จาก Investopedia จะใช้เทคนิคการดูรายได้ย้อนหลัง 12 เดือน เป็นข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน 2023 – มิถุนายน 2024

 

อ้างอิง:

 

UOB_Privilege-Banking

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X