เทรนด์คนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีลูก ผลักดันให้ตลาดถุงยางอนามัยโตกว่า 8% ไทยนิปปอนฯ เตรียมลงทุนเพิ่มกำลังผลิต พร้อมจับมือ PLBY Group นำถุงยางอนามัยพรีเมียม PLAYBOY CONDOMS บุกตลาดโลก มั่นใจกำไรโตต่อเนื่อง หลังราคาน้ำยางธรรมชาติเหลือแค่ 40 บาทต่อกิโลกรัม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR นั้นเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติ อยู่ในตลาดมากว่า 31 ปี และอยู่ในตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันเป็นเจ้าของแบรนด์ถุงยางอนามัยสัญชาติไทย ONETOUCH และเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าแบรนด์ PLAYBOY แต่เพียงผู้เดียวในไทย ซึ่งสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับจ้างผลิตถุงยางเป็นหลัก ตามด้วยธุรกิจประมูล และ Own Brand
ทั้งนี้ แต่ละแบรนด์วาง Position ราคาต่างกัน โดย ONETOUCH เน้นจับตลาดระดับกลาง-ล่าง ส่วน PLAYBOY จับกลุ่มพรีเมียม และสิ่งที่ทำให้สินค้าของไทยนิปปอนฯ ต่างจากคู่แข่งคือจุดขายเรื่องความบางและเนื้อสัมผัส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า ปัจจุบันตลาดถุงยางอนามัยในไทยมีมูลค่า 1,500 ล้านบาท เติบโต 5% ต่อปี แต่เมื่อเทรนด์คนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีลูกหรือมีลูกน้อยลง บวกกับวัยรุ่นเริ่มศึกษาการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น ต่างจาก 10 ปีก่อนที่จะเริ่มศึกษาตอนอายุ 18 ปี แต่ตอนนี้ลดลงมาอยู่ที่ 13 ปี ทำให้ตลาดมีแนวโน้มเติบโตขึ้นถึง 8%
ขณะที่ภาพรวมตลาดถุงยางอนามัยโลกมีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ คาดว่าในช่วงปี 2024-2030 จะโต 8.57% มองว่าตลาดยังมีศักยภาพอย่างมาก เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองถุงยางอนามัยเป็นเพียงอุปกรณ์การคุมกำเนิดและป้องกันโรค แต่มองว่าเป็นการหาประสบการณ์ใหม่ๆ แถมยังสะท้อนให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานได้อีกด้วย
สำหรับประเทศที่มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก 5 อันดับ ได้แก่
- จีน
- สหรัฐอเมริกา
- อินเดีย
- อินโดนีเซีย
- ญี่ปุ่น
ทั้งหมดล้วนเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าตลาดต่างประเทศยังมีโอกาสเติบโตได้อีก บริษัทจึงจับมือ PLBY Group พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ PLAYBOY CONDOMS ถุงยางอนามัยพรีเมียมและเจลหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันกัญชา (CBD) ไปบุกตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย ทั้งในสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย เวียดนาม และแอฟริกา โดยประเทศเหล่านี้ล้วนมีกำลังซื้อ
ในแง่ของการทำตลาด ทั้งสองบริษัทต่างนำจุดแข็งมาร่วมกันพัฒนาสินค้า โดย TNR PLC มีความแข็งแกร่งเรื่องการผลิตสินค้า จากการมีฐานการผลิตน้ำยางธรรมชาติเป็นของตัวเอง ส่วน PLAYBOY มีความแข็งแกร่งเรื่องชื่อเสียงและเครือข่ายในต่างประเทศ และสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ทุกเจเนอเรชัน
“เรามั่นใจว่าการจับมือกันของทั้งสองบริษัทในครั้งนี้จะช่วยผลักดันให้ทั้งสองบริษัทเติบโตร่วมกัน ยิ่งในช่วงสถานการณ์ราคาน้ำยางธรรมชาติลดลงอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อราคายางถูกลง สิ่งที่ตามมาคือต้นทุนที่ลดลง และทำให้กำไรเพิ่มขึ้น” ซีอีโอ TNR PLC ย้ำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่าตลาดถุงยางอนามัยได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนทะลักเข้าไทยบ้างหรือไม่ ‘อมร’ ตอบเพียงสั้นๆ ว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ หากจะนำเข้ามาต้องผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน
พร้อมยังส่งสารถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร อยากให้ช่วยส่งเสริมธุรกิจส่งออกและแจกสิทธิประโยชน์ภาษี BOI เพราะจะทำให้เอกชนตัดสินใจเดินหน้าลงทุนต่อไปได้