คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ กำลังตามสอบสวนข้อกล่าวหาต่อธนาคารอย่าง Wells Fargo, Morgan Stanley และธนาคารอื่นๆ ในวอลล์สตรีท ว่ากำลังโกงลูกค้าอย่างเป็นระบบจนทำให้ลูกค้าสูญเสียดอกเบี้ยเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ผ่านบัญชีที่เรียกว่า ‘Cash Sweep’
บัญชี Cash Sweep คือบัญชีที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินใช้เพื่อนำเงินที่ไม่ใช้ประโยชน์ในบัญชีของลูกค้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือกองทุนรวมตลาดเงินที่มีความปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูง เมื่อเงินถูก ‘Swept’ หรือโยกย้ายจากบัญชีหลักไปยังบัญชีเหล่านี้ ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนให้ลูกค้าในอัตราที่กำหนด
การใช้บัญชี Cash Sweep เป็นวิธีที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนจากเงินที่ไม่ได้ใช้ โดยยังคงสามารถเข้าถึงเงินเหล่านั้นได้ง่ายและรวดเร็วเมื่อจำเป็น
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่ธนาคารหลายแห่งเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า แต่อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับบัญชีเงินฝากเหล่านี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าผลตอบแทนที่ธนาคารได้รับอิงจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ก.ล.ต.สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่า สถาบันการเงินเหล่านี้ได้ชักจูงลูกค้าให้ย้ายเงินไปอยู่ในบัญชี Sweep ที่จ่ายดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยหรืออาจจะไม่มีดอกเบี้ยเลย หรือไม่ และที่ปรึกษาทางการเงินในบริษัทเหล่านั้นมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแนะนำลูกค้าว่าพวกเขาสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าหากย้ายเงินไปยังบัญชีอื่น หรือไม่
Robert Finkel พาร์ตเนอร์ระดับสูงของ Wolf Popper ซึ่งเป็นคนเปิดประเด็นในการฟ้องร้องต่อ Morgan Stanley ในนามของลูกค้า กล่าวว่า เหตุการณ์ในตอนนี้กำลังเป็นการถ่ายโอนเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่ควรจะเป็นของลูกค้าไปยังบริษัทการเงินเหล่านี้
ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 สิงหาคม) Morgan Stanley ประกาศว่ากำลังต่อสู้ในประเด็นนี้กับ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ขณะที่ Wells Fargo ระบุว่า เจรจาประเด็นดังกล่าวกับ ก.ล.ต.สหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายสถาบันการเงินที่โดนฟ้องเกี่ยวกับประเด็นการหาเงินอย่างไม่เป็นธรรมจากลูกค้าอีกเช่นกัน
จากการที่สถาบันการเงินเหล่านี้เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ผลกำไร มากกว่าสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้แก่ลูกค้า ทำให้ในท้ายที่สุด Wells Fargo ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในบัญชี Cash Sweep จาก 0.05% ไปตามมาตรฐาน และอาจส่งผลให้ผลกำไรของบริษัทหายไปกว่า 350 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) ในปีนี้
อ้างอิง: