×

ย้อนตำนานจักรวาลไดโนเสาร์ อุ่นเครื่องก่อนดู Jurassic World: Fallen Kingdom

06.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • Jurassic Park ภาคแรกคือจุดเริ่มต้นของตำนานที่เพียงแค่เข้าฉายสัปดาห์แรกในอเมริกาก็ทำรายได้ไปถึง 81.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และขึ้นครองอันดับหนึ่งหนังทำเงินสูงที่สุดในโลกเวลานั้นด้วยสถิติ 914 ล้านเหรียญสหรัฐนาน 4 ปีเต็ม ล่าสุด Jurassic Park อยู่อันดับ 28 ในทำเนียบหนังทำเงินสูงสุด ทำเงินไปแล้ว 1,029 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ถึงแม้คำวิจารณ์ของ The Lost World จะออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จด้านรายได้ เพราะทำเงินทั่วโลกไปได้มากถึง 618 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ภาคที่ 3 อย่าง Jurassic Park III ถือว่าเจ็บตัวหนักสุด ทำรายได้รวมแบบเหงาๆ ไปที่ 368 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมคำวิจารณ์แบบสับเละชนิดที่สปีลเบิร์กตอนทำภาค 2 คงเบาใจได้ เพราะแฟนหนังหลายคนถึงกับถอดใจ คิดว่าคงไม่มีทางได้ดูหนังไดโนเสาร์สนุกๆ แบบภาคแรกอีกแล้ว
  • การกลับมาหลังเว้นช่วงไป 14 ปี Jurassic World ก็สร้างปรากฏการณ์ทันที เพราะกลายเป็นหนังเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำเงินในสัปดาห์แรกได้มากถึง 516 ล้านเหรียญสหรัฐ และครองอันดับที่ 5 จากหนังที่ทำรายได้รวมทั่วโลกทั้งหมดอยู่ที่ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ!
  • Jurassic World: Fallen Kingdom คือภาคที่ 5 ของแฟรนไชส์นี้ เป็นอีกหนึ่งภาคที่ได้รับการคาดหวังมากที่สุด และเป็นอีกหนึ่งภาคที่เราจะได้เห็นไดโนเสาร์กลับมาเป็น ‘พระเอก’ เต็มตัวอีกครั้ง

ย้อนกลับไปในวันแรกที่พ่อมดแห่งวงการหนังฮอลลีวูด สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้ร่ายมนต์ปลุกชีวิตไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปหลายร้อยล้านปีให้กลับมามีชีวิตบนจอภาพยนตร์อีกครั้งด้วยภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ในปี 1993 และสร้างปรากฏการณ์มากมายที่ทำลายทุกสถิติ ทั้งยังมีภาคต่อที่พยายามเดินรอยตามออกมาเรื่อยๆ ถ้านับภาคล่าสุด Jurassic World: Fallen Kingdom ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ แฟรนไชส์หนัง Jurassic ก็ได้เดินทางมาถึงภาคที่ 5 เป็นที่เรียบร้อย

 

THE STANDARD ได้รวบรวมเหตุการณ์ตลอด 25 ปีที่แฟรนไชส์ไดโนเสาร์เดินทางมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ที่หลายคนอาจหลงลืมไป เพื่อสร้างอรรถรสที่มากขึ้น ก่อนไปดูภาคใหม่ที่เขาว่ากันว่าจะเป็นภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา

 

 

1. Jurassic Park (1993) เปิดตำนานจาก ‘ก้อนอำพัน’

ทุกอย่างเริ่มต้นจากความฝันอยากชุบชีวิตไดโนเสาร์ของ จอห์น แฮมมอนด์ มหาเศรษฐีที่ใช้ทุนมหาศาลให้นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญไปขุดค้น ‘ฟอสซิล’ ไดโนเสาร์จากทั่วโลก จนกระทั่งค้นพบก้อนอำพันที่เก็บซากของยุงที่มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ และสกัดดีเอ็นเอจากเลือดไดโนเสาร์ที่ยุงกินเข้าไปเอามาผสมกับดีเอ็นเอของกบจนโคลนนิ่งชีวิตใหม่ของเหล่าไดโนเสาร์ออกมา และสร้างเป็นธีมปาร์กขนาดยักษ์ชื่อ Jurassic Park บนเกาะอิสลา นูบลาร์ เพื่อเปิดให้คนเข้าชม

 

แต่ยังไม่ทันเปิดให้บริการก็มีข่าวพนักงานในธีมปาร์กถูกไดโนเสาร์ทำร้าย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นเรื่องระบบความปลอดภัย ทำให้แฮมมอนด์ต้องระดมทีมผู้เชี่ยวชาญ (แต่พาหลานไปเที่ยวด้วย) ในด้านต่างๆ ไปที่เกาะเพื่อยืนยันว่า Jurassic Park พร้อมแล้วที่จะเปิดให้บริการจริงๆ กลายเป็นภารกิจ 48 ชั่วโมงบนเกาะที่สร้างตำนานบทแรกของแฟรนไชส์ไดโนเสาร์นี้ขึ้นมา

 

Jurassic Park คืออีกหนึ่งเครื่องยืนยันฉายา ‘พ่อมดแห่งวงการหนังฮอลลีวูด’ ของสปีลเบิร์กได้เป็นอย่างดี เพราะตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 7 นาที เราจะได้เห็นการเซอร์วิสจินตนาการคอหนังด้วยฉากที่สวยงาม ตื่นเต้น ลุ้นระทึกได้แบบไม่มีเบื่อ

 

 

เราได้เห็นทั้งบราคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ไดโนเสาร์คอยาวที่แสนเชื่องช้าแต่สง่างาม ได้เห็นเจ้าสามเขาขวัญใจเด็กๆ ไทรเซราท็อปส์ (Triceratops) ไปจนถึงฉากการตามล่าจากไดโนเสาร์สุดโหดที่ทำให้ลุ้นกันจนนั่งไม่ติดเบาะ ทั้งเจ้าไดโลโฟซอรัส (Dilophosaurus) ไดโนเสาร์ตัวจิ๋ว แต่น่ากลัวเมื่อเวลาอยู่รวมกัน เวโลซีแรปเตอร์ (Velociraptor) ที่ทั้งฉลาดและไวเป็นกรด และไทแรนโนซอรัส หรือทีเร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex / T-Rex) ยักษ์ใหญ่ที่ทำให้ฉากกัดห้องน้ำกลายเป็นฉากคลาสสิก และทำตัวเป็นเหมือนพระเอกในหนังเรื่องนี้ไปด้วยอีกคน  

 

 

Jurassic Park กลายเป็นปรากฏการณ์ในวงการภาพยนตร์ตอนนั้นทันที เพราะเพียงแค่สัปดาห์แรกที่เข้าฉายในอเมริกาก็ทำรายได้มากถึง 81.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และขึ้นครองอันดับหนึ่งหนังทำเงินสูงที่สุดในโลกเวลานั้นด้วยจำนวน 914 ล้านเหรียญสหรัฐนาน 4 ปีเต็ม (สุดท้ายโดน Titanic ของเจมส์ คาเมรอน ทำสถิติแซงหน้าไป) อัปเดตตัวเลขล่าสุด Jurassic Park อยู่ในอันดับ 28 ทำเนียบหนังทำเงินสูงสุด โดยทำเงินไปแล้ว 1,029 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

ด้วยโปรดักชันและทีมงานคุณภาพ ทำให้ Jurassic Park คว้ารางวัลออสการ์ได้ถึง 3 สาขา ตั้งแต่ลำดับเสียงยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม และเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ที่ต้องยกให้เรื่องนี้จริงๆ

 

 

2. The Lost World: Jurassic Park (1997) ในวันที่ ‘มนต์’ ของพ่อมดเริ่มเสื่อมคลาย

หลังเอาชีวิตรอดจากเกาะอิสลา นูบลาร์ มาได้ แฮมมอนด์ตระหนักถึงอันตรายของเหล่าไดโนเสาร์ที่ไม่อาจควบคุม แต่หลานชายของเขาไม่คิดเช่นนั้น แถมยังมีความสุดโต่งด้วยการคิดจะสร้าง Jurassic Park ขึ้นมาอีกครั้งกลางเมืองซานดิเอโก!

 

ปัญหาของงานนี้ก็คือพวกเขาต้องนำเข้าไดโนเสาร์จากเกาะอิสลา ซอร์นา ใกล้ๆ กับเกาะอิสลา นูบลาร์ ที่ใช้เป็นสถานที่เพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ก่อนส่งเข้าไปที่ Jurassic Park ในภาคก่อน และหลังจาก Jurassic Park ถูกปิดไป ทำให้ไดโนเสาร์บนเกาะแห่งนี้ไม่มีคนดูแล ทุกตัวต้องใช้สัญชาตญาณสัตว์ป่าในการเอาตัวรอดกันอย่างเต็มที่ ทำให้ไดโนเสาร์บนเกาะนี้มีความดุร้ายมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งแฮมมอนด์ไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ จึงได้จ้างวานให้นักวิชาการกลุ่มหนึ่งเข้าไปทำภารกิจที่ตรงกันข้ามกับเมื่อ 4 ปีก่อน คือครั้งนี้พวกเขาต้องเข้าไปเพื่อยืนยันให้ว่าไดโนเสาร์เหล่านี้อันตรายจริงๆ

 

 

ในภาคนี้เหมือนเป็นภาคกลับของภาคแรก เพราะเราจะได้เห็นความโหดร้ายของนายพรานที่ออกมาล่าไดโนเสาร์อย่างน่าสงสาร เพราะฉะนั้นการไล่ล่ามนุษย์ของไดโนเสาร์ในภาคนี้จึงไม่ได้ทำไปเพียงเพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอด แต่ออกตามล่าเพื่อล้างแค้นมนุษย์เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งปัจจัย

 

 

และภาคนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีการนำไดโนเสาร์เข้ามาอยู่ในเมือง คือทีเร็กซ์ตัวพ่อที่หลุดจากการจับกุมเพื่อมาตามหาลูกน้อย และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดียิ่งกว่าผลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะตอนนี้ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า Jurassic Park ไม่ควรเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

 

ถึงแม้ว่าเมื่อหนังฉายออกไปจะโดนถล่มเละทั้งการผูกเรื่องที่ดูสับสนไปหมด โปรดักชัน ความสวยงามด้านการดีไซน์ไดโนเสาร์ก็แทบไม่มีการพัฒนา แถมไม่มีฉากคลาสสิกให้จำเหมือนภาคแรก แต่ The Lost World ยังถือว่าประสบความสำเร็จในด้านรายได้ เพราะทำเงินทั่วโลกไปได้มากถึง 618 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้สปีลเบิร์กที่ยืนยันจะทำภาคนี้ต่อไม่เจ็บตัวเท่าไรนัก

 

 

3. Jurassic Park III (2001) เจ็บหนักจนเกือบปิดตำนาน

เรื่องราวในภาคนี้ยังเกิดขึ้นที่เกาะอิสลา ซอนา ในอีก 4 ปีให้หลัง เมื่อพ่อแม่คู่หนึ่งต้องการตามหาตัวลูกชายที่พลัดหลงบริเวณเกาะนี้ เนื้อเรื่องที่เหลือก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมไปจากสองภาคที่ผ่านมาคือการตามหาคนท่ามกลางไดโนเสาร์ ถูกไดโนเสาร์ไล่ล่า วิ่งหนี เอาจริงๆ ถ้าไม่นับเรื่องการกลับมาทำภารกิจอีกครั้งของ ดร.แกรนต์ (รับบทโดย แซม นีล) หัวหน้าทีมในครั้งแรก เรื่องนี้ก็แทบไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับแฟนๆ ของแฟรนไชส์นี้อีกเลย

 

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการวางมือจากการเป็นผู้กำกับของสปีลเบิร์กและส่งไม้ต่อให้ โจ จอห์นสตัน ที่กำลังมือขึ้นหลังจากกำกับหนังเรื่อง Jumanji (1995) แต่ดูเหมือนเขาไม่สามารถดึงเสน่ห์ความสนุกแบบนั้นเอามาใช้กับ Jurassic Park ภาคนี้ได้ดีพอ

 

 

สุดท้ายหนังทำรายได้รวมแบบเหงาๆ ไปที่ 368 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมคำวิจารณ์แบบสับเละชนิดที่สปีลเบิร์กตอนทำภาค 2 คงเบาใจได้ เพราะแฟนหนังหลายคนถึงกับถอดใจ คิดว่าคงไม่มีทางได้ดูหนังไดโนเสาร์สนุกๆ แบบภาคแรกอีกแล้ว

 

 

4. Jurassic Park (2015) การกลับมาเพื่อคารวะหนังภาคแรก

เนื้อเรื่องภาคนี้ดำเนินต่อมาจากเหตุการณ์บนเกาะอิสลา นูบลาร์ จากภาคแรก 22 ปี โดยมีกลุ่มคนที่คิดจะรื้อโปรเจกต์ Jurassic Park ขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น Jurassic World ให้เป็นสวนสนุกที่มีคอนเซปต์ผสมผสานความน่าอัศจรรย์ใจของวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ให้เข้ากับเทคโนโลยีที่แสนสะดวกสบายและหรูหรา

 

แต่อาศัยแค่ไดโนเสาร์ชุดเดิมโลกคงไม่จดจำ พวกเขาเลยคิดสร้างไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่รวบเอายีนเด่นๆ ของไดโนเสาร์สายพันธุ์อื่นไว้ด้วยกันจนกลายเป็นไอ-เร็กซ์ หรืออินโดไมนัส เร็กซ์ ที่ได้ทั้งขนาดตัวใหญ่ยักษ์มาจากทีเร็กซ์ และความฉลาดเป็นกรดจากเวโรซีแรปเตอร์

 

 

และปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่ออินโดไมนัส เร็กซ์ หนีจากระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดออกมาได้ (อีกแล้ว) และทุกชีวิต (ทั้งคนและไดโนเสาร์) ต้องเอาตัวรอดจากไดโนเสาร์ที่ดุร้าย ฉลาด และตัวใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมาให้ได้ โดยมี โอเวน (รับบทโดย คริส แพรตต์) ผู้มีความสามารถพิเศษในการฝึกเวโรซีแรปเตอร์ให้เชื่องเป็นผู้นำ

 

นอกจากเนื้อเรื่องคล้ายๆ เดิมแล้ว ความน่าสนใจของภาคนี้อยู่ที่เราจะได้เห็นการร่วมมือกันระหว่างทีเร็กซ์ เวโรแรปเตอร์ทั้งสี่ และโมซาซอรัส (Mosasaurus) กิ้งก่ายักษ์ขนาดเท่าเครื่องบิน เพื่อต่อสู้กับบอสใหญ่ไอ-เร็กซ์ ซึ่งถือว่าทำได้ดีใกล้เคียงกับการเป็นฉากคลาสสิกแบบภาคแรกได้อยู่เหมือนกัน

 

ความน่าสนใจอีกอย่างของ Jurassic World คือการที่ผู้กำกับอย่าง โคลิน เทรเวอร์โรว์ พยายาม ‘เคารพ’ หนังภาคแรกของสปีลเบิร์กด้วยการใส่หลายฉากที่แฟนๆ Jurassic Park คุ้นเคยกันดีเข้ามาให้หายคิดถึง ทั้งคบเพลิง 6 อันที่ประตูทางเข้า, ความคลั่งไคล้ของเด็กๆ ที่มีต่อไดโนเสาร์, ก้อนอำพันที่มียุงอยู่ข้างใน, ฉากเหยื่อล่อไดโนเสาร์สุดโหด, ความฉลาดของแรปเตอร์ที่ทำให้มันทั้งน่ากลัวและน่ารักไปพร้อมๆ กัน ฯลฯ

 

 

ทันทีที่เข้าฉาย Jurassic World ก็สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งทันที เพราะกลายเป็นหนังเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำเงินในสัปดาห์แรกได้มากถึง 516 ล้านเหรียญสหรัฐ และครองอันดับที่ 5 จากหนังที่ทำรายได้รวมทั่วโลกทั้งหมดอยู่ที่ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ!

 

 

5. Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) การกำเนิดไดโนเสาร์ที่ดุร้ายที่สุด (อีกแล้ว!)

7 มิถุนายนนี้ จะเป็นวันแรกที่เราได้ดูภาคต่อของแฟรนไชส์ Jurassic กันแบบเต็มๆ ตอนแรกหนังเปิดเผยเนื้อเรื่องออกมาเพียงว่าจะเป็นภารกิจที่โอเวนต้องกลับไปช่วยเหล่าไดโนเสาร์อพยพออกจากเกาะอิสลา นูบลาร์ จากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่อาจทำให้สัตว์โลกล้านปีต้องกลับไปสูญพันธุ์อีกครั้ง

 

แต่ล่าสุดหนังได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่านั่นเป็นเพียงพาร์ตแรกเพื่ออารัมภบทเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วการส่งโอเวนกลับไปที่เกาะเป็นหนึ่งในแผนการนำตัว ‘บลู’ แรปเตอร์ตัวสุดท้ายที่เหลือรอดจากสงครามในภาคก่อนเพื่อสร้างไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ดุร้ายกว่าทุกๆ สายพันธุ์ที่เคยมีมา (ภาคที่แล้วก็บอกแบบนี้!)

 

 

ความน่าสนใจอย่างแรกคือผู้กำกับอย่าง เจ.เอ. บาโยนา ออกมายืนยันว่า Jurassic World: Fallen Kingdom จะเป็นภาคที่ยิ่งใหญ่และมีไดโนเสาร์ปรากฏตัวออกมามากที่สุดของแฟรนไชส์นี้ และความน่าสนใจอย่างที่สองที่เราอยากเห็นเป็นพิเศษคือการเข้ามาเป็น ‘พระเอก’ เต็มตัวของบลูที่เพิ่งเสียพี่น้องอีก 3 ตัวไปในภาคที่แล้วว่าจะพาให้หนังเรื่องนี้ไปได้ไกลขนาดไหน  

 

ตัวอย่างภาพยนตร์ Jurassic World: Fallen Kingdom

FYI
  • เกาะอิสลา นูบลาร์ ที่ตั้งของ Jurassic Park และ Jurassic World เป็นเกาะขนาดเล็กประมาณ 22 ตารางไมล์ ตั้งอยู่บนเกาะนอกชายฝั่งประเทศคอสตาริกา
  • สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้แรงบันดาลใจในการสร้าง Jurassic Park จากนิยายชื่อเรื่องเดียวกันของนักเขียนชาวอเมริกัน จอห์น ไมเคิล ไครซ์ตัน สปีลเบิร์กขอซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้มาทำเป็นหนัง ทั้งๆ ที่นิยายเรื่องนี้ยังไม่ได้ตีพิมพ์ด้วยซ้ำ ส่วนภาคสอง สปีลเบิร์กขอให้ไครซ์ตันช่วยเขียนหนังสือขึ้นมาใหม่เพื่อเอามาสร้างภาคต่อโดยเฉพาะ ส่วนภาคที่เหลือไม่ได้อิงจากหนังสือของไครซ์ตันอีกแล้ว
  • จริงๆ แล้วกำหนดฉายของ Jurassic World ถูกวางไว้ตั้งแต่ปี 2005 แต่ด้วยปัญหาเรื่องคนเขียนบท ทำให้กำหนดฉายถูกเลื่อนออกมาเรื่อยๆ และก่อนหน้านั้นได้วางตัวนักแสดงสาว เคียรา ไนต์ลีย์ เป็นหนึ่งในนักแสดงนำ
  • Jurassic Park ถูกวิจารณ์ในเรื่องความสมจริงของไดโนเสาร์ตามหลักชีววิทยามาโดยตลอด ตั้งแต่ตัวทีเร็กซ์ที่เทียบขนาดฟอสซิลของจริงแล้วไม่มีทางตัวใหญ่เท่าในหนัง และมีความเร็วสูงสุดแค่ 25 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งไม่มีทางวิ่งไล่รถที่ขับด้วยความสูงได้แน่ๆ และตัวเด่นอย่างเวโลซีแรปเตอร์ ที่ตามหลักที่ค้นพบแล้วเจ้าไดโนเสาร์พันธุ์นี้ไม่ได้ดุร้ายน่ากลัว และมีขนาดเท่าไก่ตัวหนึ่งเท่านั้น!
  • Jurassic World ภาค 6 มีกำหนดฉายคือวันที่ 11 มิถุนายน 2021
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X