×

หุ้นหมายเลข 1 เวียดนาม

08.07.2024
  • LOADING...

ถ้าจะถามว่าหุ้นอะไรยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกช่วงเร็วๆ นี้ คำตอบก็คือ หุ้น ‘NVIDIA’ เหตุผลก็เพราะอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยี AI กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และ AI มีการพัฒนาขึ้นมาถึงจุดที่จะปฏิวัติโลกในไม่ช้า เพราะ AI จะมีความสามารถสูงมากและจะสูงกว่าคน ดังนั้น สินค้า บริการ และอุปกรณ์ต่างๆ ในอนาคตก็จะถูกประดิษฐ์หรือทำโดย AI ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะทำโดยคนจำนวนมาก

 

และคนที่เป็นผู้ชนะในเทคโนโลยีนี้ก็คือ NVIDIA บริษัทที่บริษัทอื่นๆ ที่ทำเกี่ยวกับ AI ต้องใช้สินค้าและบริการ ทำให้รายได้และกำไรของ NVIDIA โตระเบิด ไตรมาสล่าสุดกำไรโตขึ้นถึง 7 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ NVIDIA ดีดตัวขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุดในโลก และสูงกว่าหุ้น Microsoft และหุ้น Apple ที่ผลัดกันครองตำแหน่งที่ 1 ในช่วงเร็วๆ นี้ และแม้ว่าหลังจากนั้นหุ้น NVIDIA จะลดลงบ้าง แต่ก็ต้องถือว่านี่ก็คือหนึ่งในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และน่าจะมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปอีกหลายๆ ปีจนชนะขาด เมื่อเทียบกับหุ้นเทคยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในช่วงปัจจุบัน ถ้าหากว่าบริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำสูงสุดในธุรกิจ AI ได้

 

ในฐานะของคนที่สนใจลงทุนหุ้นแบบซูเปอร์สต็อก ซึ่งต้องเป็นหุ้นที่เก่ง แข็งแกร่ง มีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน อยู่ในธุรกิจที่กำลังโตในระยะยาว หรือเป็นเมกะเทรนด์ ผมจึงสนใจหุ้นที่เป็นสุดยอดของหุ้นในตลาดที่ผมเข้าไปลงทุน และแน่นอนว่าผมมองหาหุ้นที่เป็นหุ้นซูเปอร์สต็อกหมายเลข 1 หรือหุ้นที่ดีและยิ่งใหญ่ที่สุด และถ้ามีโอกาสซื้อในราคาที่ผมคิดว่าคุ้มค่าหรือราคาถูก ผมก็จะซื้อและถือให้มากที่สุดที่จะรับได้

 

ตลาดหุ้นเวียดนามที่ผมเพิ่งจะเข้าไปไม่นาน (แม้ว่าจะผ่านมา 6-7 ปีแล้ว) ผมก็เริ่มมองหาหุ้นที่จะเป็นซูเปอร์สต็อก และพบว่าน่าจะมีหลายตัวในหลายอุตสาหกรรม ผมเริ่มลงทุนในแต่ละตัวอย่างมีนัยสำคัญ ในระหว่างนั้น ผมก็คอยดูและวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวไหนจะกลายเป็นหุ้นหมายเลข 1 ในแง่ของความแข็งแกร่ง การเติบโต และขนาด วัดจากมาร์เก็ตแคปของหุ้นในอนาคตอีกสัก 10 ปีข้างหน้า

 

จุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์เริ่มจากการที่ต้องประเมิน ซึ่งเนื่องจากระยะเวลาที่ยาวไกลก็จะต้องอาศัยจินตนาการบ้างว่า ประเทศเวียดนามจะเป็นประเทศแบบไหนในสังคมโลก? ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอย่างฝรั่งเศสนั้นเป็นแนวแฟชั่นและความหรูหรา ญี่ปุ่นและไต้หวันเป็นประเทศไฮเทค อเมริกาเป็นซูเปอร์พาวเวอร์หรืออภิมหาอำนาจของโลกที่เป็นทุกอย่าง และไทยที่ผมมองว่าในอนาคตก็คงเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของโลก

 

สำหรับเวียดนามนั้น เดิมทีผมไม่ได้ตระหนักหรือคิดว่าในระยะยาวแล้ว ประเทศนี้จะเป็นอะไร ผมแค่คิดว่านี่คือประเทศที่จะโตเร็ว อานิสงส์จากการที่ยากจนมากจากภาวะสงครามในประเทศที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน 

 

เศรษฐกิจที่โตเร็วระดับ 6-7% นั้น ก็น่าจะคล้ายประเทศไทยในช่วง 20-30 ปีก่อน ที่ทำให้คนรวยขึ้นและบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะมีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผู้บริโภคเติบโตขึ้นจนเอาชนะคู่แข่งได้เด็ดขาด มีรายได้และกำไรสูงมาก ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปเป็นซูเปอร์สต็อกหมายเลข 1 ได้ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้หุ้นอย่าง ‘Vinamilk’ ที่ขายนมและโยเกิร์ต เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในขณะนั้น

 

ต่อมาก็เริ่มเห็นหุ้นค้าปลีกโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดคือ ‘Mobile World’ ที่เริ่มขยายไปขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และกลายเป็นรายใหญ่ที่สุดอีกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังหันไปทำร้านเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตแบบทันสมัยที่อาจกลายเป็นวิถีชีวิตใหม่ของคนเวียดนามที่เปลี่ยนไป และทั้งหมดนั้นก็ทำให้หุ้น Mobile World เป็นหุ้นที่อาจกลายเป็นหุ้นหมายเลข 1 ได้ในสายตาของผม และผมก็ยอมซื้อหุ้นที่มีพรีเมียมสูงถึง 35% ในช่วงเวลานั้น

 

หลังจากเกิดโควิดเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงประเทศเวียดนามเองที่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในโลก อานิสงส์สำคัญจากสงครามการค้าและสงครามเย็นครั้งใหม่ระหว่างอเมริกากับจีนและรัสเซีย ซึ่งทำให้เวียดนามกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของฝ่ายอเมริกาและโลกเสรี เศรษฐกิจเวียดนามจึงถูกกระทบน้อย และน่าจะกำลังเริ่มเติบโตขึ้นใหม่ในระดับ 6-7% ต่อไปได้อีกเป็น 10 ปีขึ้นไป

 

การอ่อนตัวลงของการบริโภคในช่วงโควิด เปิดเผยให้เห็นว่าการค้าและการบริโภคภายในประเทศนั้นอาจไม่ได้เป็นหมายเลข 1 ของประเทศ หุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มตกลงมาอย่างแรง แม้ว่าในภายหลังจะดีดตัวกลับได้ แต่หุ้นที่ยังเติบโตแข็งแกร่งกลับกลายเป็นหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศคือ หุ้น FPT ที่รายได้และกำไรไม่ถูกกระทบ และยังโตในระดับ 20% อย่างต่อเนื่อง

 

ผมเองถือหุ้น FPT มานานแล้วในระดับที่มีนัยสำคัญ แต่เหตุผลที่ถือนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าเป็นบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอและมีราคาไม่แพง ค่า P/E ประมาณ 12-13 เท่า ถ้าผมจำไม่ผิด บริษัทมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ธุรกิจหลักของบริษัทก็คือการรับจ้างเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยมีตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาคืออเมริกา ธุรกิจรองลงมาคือกลุ่มไอที อินเทอร์เน็ตในประเทศ และการศึกษา ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัยซึ่งเน้นการสอนด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก

 

ผมไม่รู้ว่าการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกในช่วงเร็วๆ นี้ ที่หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ครองโลก ซึ่งรวมถึงหุ้น Microsoft, Apple และ NVIDIA ปรับตัวขึ้นมหาศาล และสามารถต่อต้านผลกระทบแม้แต่โควิดได้นั้น จะมีส่วนทำให้หุ้น FPT ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตามกันหรือไม่

 

แต่หุ้น FPT ก่อนวิกฤตโควิดในปี 2562 มีราคาเพียงประมาณ 20,000 ดอง หรือเกือบ 30 บาทต่อหุ้น ล่าสุดวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ราคาอยู่ที่ 138,700 ดอง หรือประมาณ 200 บาท เท่ากับปรับตัวขึ้นประมาณ 6 เท่า หรือเพิ่มขึ้น 600% ในเวลา 5 ปี เฉพาะปีนี้ หุ้นปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 60% พร้อมๆ กับข่าวที่บริษัทอย่าง NVIDIA มาร่วมมือทำธุรกิจแห่งอนาคต เช่น AI Factory ด้วยกัน และโครงการอื่นๆ รวมถึงการออกแบบชิปที่จะทำให้ FPT และประเทศเวียดนามกลายเป็นประเทศไฮเทคในอนาคต

 

หุ้น FPT ในพอร์ตผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะต้องจ่ายแพงกว่าปกติจากราคาตลาดเพราะหุ้นมี Foreign Premium มันกลายเป็นหุ้นที่ผมมีมากที่สุดในระดับกว่า 40% ของพอร์ตหุ้นเวียดนาม เพราะผมเริ่มสรุปว่า นี่อาจเป็นหุ้นหมายเลข 1 ของเวียดนามในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ข้อมูลล่าสุดก็คือ หุ้นเวียดนามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้คือหุ้นแบงก์ VCB ที่มีมาร์เก็ตแคปประมาณ 7 แสนล้านบาท อันดับ 2 คือหุ้นแบงก์ BID ที่ 3.9 แสนล้านบาท และอันดับ 3 ก็คือ หุ้น FPT ที่ 2.9 แสนล้านบาท

 

เหตุผลที่ผมสรุปว่า FPT มีโอกาสที่จะเติบโตกลายเป็นหุ้นอันดับหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนามในอีก 10 ปีข้างหน้านั้น เป็นเพราะประเทศเวียดนามมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันทางด้านไฮเทคในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า ในปัจจุบัน FPT ก็แข่งขันได้อยู่แล้วในเรื่องการเขียนโปรแกรมและสามารถเติบโตได้ เนื่องจากเวียดนามมีบุคลากรด้านนี้ค่อนข้างมาก และยังผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านมหาวิทยาลัยของตนเอง

 

นอกจากนั้น เด็กเวียดนามมีการศึกษาที่ดี และเน้นการเรียนในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่าประเทศที่อยู่ในระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในอาเซียน เครื่องชี้วัดทุกด้านทางการศึกษา รวมถึงนักศึกษาที่ไปเรียนต่อต่างประเทศของเวียดนามเหนือกว่าทุกประเทศ ยกเว้นสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้ว

 

ดังนั้น ผมเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เวียดนามน่าจะเป็นประเทศที่มีและใช้เทคโนโลยีทำมาหากินค่อนข้างมาก เทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปได้ไกลกว่า และจะไม่ติดกับดักชนชั้นกลางที่จะเกิดขึ้นกับหลายประเทศรวมถึงไทย และถ้าประเทศเวียดนามประสบความสำเร็จในด้านเทคโนโลยี แน่นอนว่า FPT ก็จะต้องประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะ FPT วันนี้แทบจะเป็นเรือธงของเวียดนามในด้านการแข่งขันทางเทคโนโลยีกับประเทศอื่น

 

แน่นอนว่าอีก 10 ปี เวียดนามคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาแข่งขันกับบริษัทระดับโลกได้ แต่การที่จะเกาะกลุ่มอยู่ในซัพพลายเชนหรือใช้เทคโนโลยีที่ช้ากว่าบ้างก็น่าจะเป็นไปได้สูง และเช่นเดียวกัน อีก 10 ปี เวียดนามก็อาจหันไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการเขียนโปรแกรมขาย แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร FPT ก็น่าจะเป็นคนทำเสมอ

 

และทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เป็นการแนะนำให้ซื้อหุ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ราคาหุ้น FPT ปรับตัวขึ้นมามหาศาลคล้ายๆ กับหุ้น Magnificent 7 ที่คนเข้าไปซื้อในช่วงนี้อาจขาดทุนได้ง่าย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising