วันนี้ (27 มิถุนายน) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงผลการพิจารณาที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) วานนี้ (26 มิถุนายน) ที่เห็นชอบกับอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกจากราชการ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐกล่าวยอมรับว่าแถลงให้ที่ประชุม ก.ตร. รับทราบถึงที่มาและเหตุผลในการออกคำสั่งดังกล่าว ก่อนที่จะออกมาด้านนอกเพื่อให้ที่ประชุมได้หารือกรณีดังกล่าว ซึ่งหลังจากทราบผลตนเองรู้สึกว่า ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตนเองทำหน้าที่ด้วยความสุจริตใจ ซึ่งช่วงเวลานั้นใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ
ในช่วงเวลาดังกล่าว พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถูกศาลออกหมายจับ และไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ซึ่งในขณะที่พนักงานสอบสวนไปขอศาลออกหมายจับ ศาลได้นำเรื่องพฤติการณ์ทางคดีและพยานหลักฐานต่างๆ ไปพิจารณาโดยใช้เวลาพิจารณานานเกือบ 1 วัน และยืนยันว่าทำไปด้วยความสุจริตใจ ไม่ได้ต้องการขัดแข้งขัดขาอย่างที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ตั้งข้อสังเกต
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐกล่าวต่อว่า ผล ก.ตร. วานนี้ ตนไม่ได้ดีใจหรือเสียใจ เป็นความรู้สึกปกติ เพราะผลออกมาจากการพิจารณาออกคำสั่งของตนเองเป็นไปตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ ตามความร้ายแรงที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ตนเองไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยากให้ปัญหาความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหายไป เพื่อให้ข้าราชการตำรวจทุกนายสบายใจ ประชาชนสบายใจ และดูแลทุกภาคส่วนได้ดีมากขึ้น มองว่าหากปัญหาดังกล่าวหายไปตนเองจะสบายใจมากขึ้น
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ บอกว่า หากผลคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ออกมาไม่เป็นบวก ก็จะฟ้องร้องเอาผิดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐมองว่าเป็นสิทธิที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ สามารถทำได้ และเป็นธรรมดาที่ตำรวจจะโดนฟ้องจากผู้จับกุมผู้ที่ถูกตรวจค้น แต่อยากให้ทำด้วยความสุจริตใจและไม่ได้มีเจตนาใดแอบแฝง ซึ่งตนเองไม่ได้มีเจตนาใดๆ มองว่าตนเองสามารถตอบและชี้แจงต่อหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ได้
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุม ก.ตร. เมื่อวานนี้มีแต่คณะกรรมการที่อยู่เป็นลูกน้องของ ผบ.ตร. พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ระบุว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ คงมองว่าไม่เป็นธรรม ก็สามารถร้องเรียนและขอความเป็นธรรมได้ ซึ่งเป็นสิทธิ แต่การฟ้องร้องขอให้มีข้อมูลและเหตุผลเพียงพอ เพราะไม่เช่นนั้นผู้ถูกฟ้องก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายกลับไปเหมือนกัน แต่สำหรับตนเองไม่ได้วิตกกังวลอะไร เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ทำหน้าที่ป้องกันปราบปรามต่อไป ซึ่งเป็นมุมมองความคิดที่ขยายออกไปได้ แต่ตนเองได้ให้เหตุผลไปแล้ว
ทั้งนี้ ภายหลังจาก พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ กลับมาปฏิบัติราชการแล้ว ได้ทักทายกันตามปกติและทำงานร่วมกัน มีการทักทายกัน ปรึกษางานกันตามปกติ ไม่มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องนโยบายเกี่ยวกับการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน
ส่วนการประชุม ก.ตร. วานนี้ มีจังหวะหนึ่งที่นายกรัฐมนตรี ได้เดินมาตบไหล่เบาๆ นั้น เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐชี้แจงว่าเป็นการทักทายตามปกติ ไม่มีอะไร เพราะตนเองเพิ่งพ้นจากหน้าที่รักษาการ ผบ.ตร. ในช่วง 3 เดือน ได้ทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด และเป็นวันแรกที่นายกรัฐมนตรีเข้ามาหลังจากที่ตนเองพ้นหน้าที่รักษาการ ก็คงเป็นการทักทายตามปกติ พร้อมปฏิเสธว่าไม่มีการทาบทามให้ตนเองไปรับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย และหากมีการทาบทามตนเองก็ไม่ไป เพราะรักอาชีพตำรวจและคงจะอยู่จนเกษียณอายุราชการ