“คุณค่ากับความสำเร็จของธุรกิจเกือบทั้งหมดมาจากสิ่งที่พนักงานสร้าง แต่วิธีการดูแลพนักงานในหลายบริษัทอาจจะยังไม่เพียงพอให้พวกเขามีส่วนร่วมกับองค์กร และนั่นก็เป็นหนึ่งสาเหตุที่หลายครั้งบริษัทต้องสูญเสียคนเก่งไป” ไมเคิล เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (BUZZEBEES) ผู้ให้บริการด้าน Digital Engagement และ Loyalty Platform กล่าว
สถานการณ์โควิดส่งผลให้พฤติกรรมการทำงานเปลี่ยนไป พนักงานจำนวนไม่น้อยเริ่มรู้สึกห่างเหินกับองค์กร โดยเฉพาะเมื่อวิถีการทำงานของบางบริษัทอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) ดังนั้นเมื่อวิถีการทำงานเปลี่ยน วิธีการสร้างความผูกพันและทำให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
ไมเคิลเผยว่า บ่อยครั้งผลประโยชน์ที่บริษัทใช้ดูแลพนักงานยังคงถูกจำกัดเพียงแค่สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การลาพักร้อน ประกันสุขภาพ หรือการให้รางวัลเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ความยืดหยุ่นและตัวเลือกที่ให้อำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเองคือคุณค่าที่พนักงานมองหา โดยเฉพาะกับกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่ ซึ่งในระยะยาวตลาดกลุ่ม Business-to-Employee (B2E) จะกลายเป็น S-Curve ใหม่ เพราะในวันนี้ ‘Employee Engagement’ สำคัญไม่แพ้ ‘Customer Engagement’
BUZZEBEES จึงพัฒนาแพลตฟอร์ม BEES’ Benefit เพื่อรุกตลาด B2E ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความสัมพันธ์ของพนักงานและองค์กรด้วยกลไกการสะสมแต้มระหว่างการทำกิจกรรมต่างๆ ภายในบริษัท เช่น เวิร์กช็อป การประชุม หรือกิจกรรมจิตอาสา ให้เกิดแรงจูงใจในหมู่พนักงานทั้งในการทำงานและการมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมบริษัท ซึ่งพนักงานมีสิทธิ์เลือกแลกของรางวัลจากระบบนิเวศ BUZZEBEES นับพันรายการจากหลากหลายร้านค้า เช่น Starbucks, On the Table, MK, Sizzler, Grab, LINE MAN, Lazada, Shopee และอื่นๆ
สำหรับ BEES’ Benefit ฝ่ายบุคคลสามารถกำหนดการให้คะแนนกับพนักงานตามโอกาสได้อย่างยืดหยุ่น และยังลดภาระงานและต้นทุนของทีมงานฝ่ายบุคคลในการหาของรางวัลให้ตรงใจพนักงาน แต่ให้พนักงานมีอิสระในการเลือกของรางวัลจากพาร์ตเนอร์ของ BUZZEBEES ได้ โดยบริษัทที่ลองใช้ BEES’ Benefit พบว่า พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้น 55% มีความพึงพอใจกับงานที่ทำเพิ่ม 32% และองค์กรสามารถรักษาบุคลากรได้เพิ่มขึ้น 21%
นอกจากนี้ BUZZEBEES ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ คือบริการอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร (E-Commerce Enabler Service) ซึ่งเป็นอีกกลยุทธ์ของ BUZZEBEES ที่ทำให้แบรนด์และร้านค้าในตลาดอีคอมเมิร์ซโตได้ถึง 3 เท่าในปี 2023 หากเทียบกับปี 2022 โดยมูลค่ายอดขายรวมกว่า 1,000 ล้านบาท จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท ทะลุเป้าหมายถึง 120%
และล่าสุด BUZZEBEES เปิดตัวธุรกิจใหม่ด้าน Affiliate Marketing ชื่อว่า ‘Mediabuzz’ ซึ่งช่วยแบรนด์สร้างยอดขายผ่าน Influencer Marketing ที่มีการใช้ Data และ AI ของบริษัทเข้ามาสร้างโมเดลการทำโฆษณา และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดทั่วไป
ในปี 2023 Mediabuzz สามารถทำยอดขายสินค้ารวม (GMV) ได้สูงถึง 2,200 ล้านบาท ผ่านผู้ติดตามสื่อในเครือของ Mediabuzz รวมกว่า 20 ล้านคน และสามารถสร้างผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ได้สูงสุดถึง 100 เท่า โดย Mediabuzz ให้บริการลูกค้าในหลายประเภทอุตสาหกรรม เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, สินค้าแฟชั่น, ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน, การท่องเที่ยว เป็นต้น โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2024 ธุรกิจ Mediabuzz จะสร้างยอดขายสินค้ารวมได้สูงถึงกว่า 4,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของ BUZZEBEES มียอดเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 11 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2020-2023 มีรายได้อยู่ที่ 921 ล้านบาท, 1,142 ล้านบาท, 1,751 ล้านบาท และ 1,980 ล้านบาทตามลำดับ
ณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา BUZZEBEES สามารถทำผลประกอบการได้เติบโตก้าวกระโดด แต่ความท้าทายในปีนี้คือปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ที่ทำให้การเติบโตแบบ 2 หลักเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ทางบริษัทเองก็คาดว่าทั้ง BEES’ Benefit และ Mediabuzz จะก้าวขึ้นมาเป็น 2 เครื่องจักรขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้ BUZZEBEES โตได้ตามเป้าหรือทะลุเป้า