อินโนเวสท์ เอกซ์ แนะ จับตาการเมืองที่ยังรอความชัดเจน ทั้งการยื่นฟ้องถอดถอนนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน รวมถึงการพิจารณาการยุบพรรคก้าวไกล อีกทั้งยังมีประเด็นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเติบโตอยู่ในระดับต่ำ
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยใกล้จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว สอดคล้องกับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังล่าสุดที่ออกมาให้ความเห็นว่า หลังจากตั้งแต่ปี 2566 ตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวที่ Underperform เมื่อเปรียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และดัชนีหลุดระดับ 1,300 จุด
จึงคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงกลางไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทยอยฟื้นตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,250-1,260 จุด
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยในประเทศคือ ประเด็นการเมืองที่ยังรอความชัดเจนในสองประเด็นสำคัญ ได้แก่ การยื่นฟ้องถอดถอนนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน รวมถึงการพิจารณายุบพรรคก้าวไกล อีกทั้งยังมีประเด็นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ประเมินว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะมีปัจจัยบวกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นต่างๆ ที่ผลักดันโดยรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งยังต้องติดตามว่าจะสามารถนำไปใช้ในไตรมาส 4/67 ตามที่ประกาศไว้ได้หรือไม่
คาด Fed เริ่มหั่นดอกเบี้ยปลายปีนี้
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังต้องติดตามทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่รายงานออกมามีทั้งข้อมูลเชิงลบและบวกสลับกันไป
อย่างไรก็ตามประเมินว่า มีโอกาสที่ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยจำนวน 1 ครั้งในช่วงปลายปี 2567 อีกทั้งประเมินว่า ในปี 2568 มีโอกาสที่จะเห็น Fed ปรับลดดอกเบี้ยอีกจำนวน 2-3 ครั้ง ส่งผลให้ภาพรวมสถานการณ์การลงทุนจะมีทิศทางปรับดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้
เอกภาวินยังประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสการเข้าลงทุน เนื่องจากยังมีประเด็นบวกจากการปรับเงื่อนไขเพื่อจูงใจการลงทุนในกองทุน Thai ESG ซึ่งเป็นโอกาสของนักลงทุนที่ยังมีเงินสดที่จะเข้าลงทุนที่จะสามารถถือครองไว้ 5 ปี และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ถึงสูงสุด 3 แสนบาทตามเงื่อนไขใหม่
จับตาเม็ดเงินกองทุน Thai ESG ไหลเข้าตลาดหุ้น
เอกภาวินประเมินว่า ในปีนี้จะมีเม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยใกล้เคียงกับในปี 2566 ที่ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท แต่อาจยังต้องติดตามว่าตัวเลขในปีนี้จะถึง 3 หมื่นล้านบาทด้วยหรือไม่ เนื่องจากระดับดัชนีของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันนั้นปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2566 ส่งผลกระทบให้ความมั่งคั่ง (Wealth) ของนักลงทุนปรับตัวลดลง ดังนั้นในระยะสั้นประเมินว่าอาจจะยังเห็นเม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG เข้ามายังไม่มากนัก
อย่างไรก็ตามประเมินว่า ในปี 2568 มีโอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจากปีนี้ เพราะเงื่อนไขที่ออกมาถือว่ามีความจูงใจนักลงทุน โดยเชื่อว่าเม็ดเงินจาก Thai ESG จะไหลเข้ามาถึงระดับ 3 หมื่นล้านบาทในปีหน้า หลังนักลงทุนรายย่อยมีเวลท์ที่ดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุน กองทุน หรือสถาบัน มีศักยภาพในการเข้าลงทุนที่ดีขึ้น เป็นโอกาสที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีศักยภาพปรับดีขึ้นด้วย
“มองว่าตลาดที่ลงมาในช่วงนี้เป็นโอกาสซื้อ เพราะในปีหน้าตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้นแล้ว ระดับดัชนีที่ต่ำกว่า 1,300 จุดถือว่ามีความน่าสนใจ สามารถเข้าลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ ราคาหุ้นหลายๆ ตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ปรับตัวลงค่อนข้างเยอะ เริ่มมีมูลค่าที่น่าสนใจ” เอกภาวินกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ Selective Buy ใน 3 ธีมหลัก คือ
- กลุ่ม Global Play ที่เน้นอ้างอิงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจของไทยที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจในต่างประเทศจะมีภาพที่ดูดีกว่า ได้แก่ หุ้น KCE, SCGP, TU และ MINT
- กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกำหนดให้ราคาเสนอขายชอร์ตต้องเป็นราคาที่สูงกว่าราคาซื้อ-ขายครั้งสุดท้าย (Uptick) ที่ออกมากำกับดูแลธุรกรรมการขายชอร์ต (Short Sell) ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ส่งผลให้เกิดการซื้อหุ้นกลับ (Cover Short) ตามมา เป็นโอกาสในการเทรดดิ้งซื้อ-ขายเก็งกำไรได้ เช่น HANA, TOP, BEM, KCE, MINT, OSP และ AOT
- กลุ่มที่จะได้ประโยชน์อ้างอิงจากการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL และ TRUE