×

การเดินทางของ เขื่อน ภัทรดนัย กับ JOODPAKJAI สเปซแห่งพลังและการเยียวยา

31.05.2024
  • LOADING...
เขื่อน ภัทรดนัย

แม้เวลาจะผ่านมาเกือบทศวรรษ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ เขื่อน-ภัทรดนัย เสตสุวรรณ ภาพจำของเขื่อนในฐานะศิลปินบอยกรุ๊ปในตำนานอย่าง K-OTIC ก็ยังคงติดตรึงใจอยู่เสมอ

 

 

เส้นทางในแวดวงบันเทิงได้ส่องประกายและเปิดประตูแห่งโอกาสให้เขื่อนอย่างเหลือล้น ทว่าเสียงของโลกที่ชื่นชมยกชูในตัวตนและผลงานความสามารถของความเป็น ‘เขื่อน K-OTIC’ นั้นดังกลบจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง…เสียงคำถามในใจที่ผุดอย่างแผ่วเบาซ้ำๆ ว่า “สุดท้ายแล้วเราเป็นใคร…” การตัดสินใจปิดประตูแห่งแสงสีท่ามกลางเสียงคัดค้านของคนรอบข้าง ณ วันนั้น ได้ทำให้เขื่อนค้นพบตัวตนที่ใช่และความหมายของชีวิตผ่านเส้นทางแห่งการเป็น ‘นักจิตบำบัด’

 

 

 

การได้เรียนรู้โลกแห่งสุขภาพจิตอย่างลึกซึ้งได้ทำให้เขื่อนริเริ่มโปรเจกต์ ‘จุดพักใจ’ ด้วยการรับฟังเรื่องราวของผู้ที่พบพานด้วยการตั้งป้ายตามสถานที่ต่างๆ จากการตั้งป้ายสู่ ‘Call Me When You Need Me’ โปรเจกต์ที่ใช้วิธีการแปะเบอร์โทรศัพท์ในรูปแบบกระดาษพร้อมฉีกตามสถานที่ต่างๆ และ ‘JOODPAKJAI’ โปรเจกต์ใหม่ล่าสุดที่ถูกต่อยอดเป็นครีเอทีฟสเปซในพื้นที่พักใจของเขื่อน ณ เชียงใหม่

 

 

การเดินทางของเขื่อนจากดาวรุ่งสู่การเป็นนักจิตบำบัด รวมถึงแพสชันอันแรงกล้าที่ผลักดันให้เกิด JOODPAKJAI จะสร้างแรงบันดาลใจพร้อมชุบชูใจแค่ไหน ร่วมค้นหาคำตอบได้ใน Passion Calling x Koen-Pataradanai Setsuwan

 

 

แนะนำตัวและอัปเดตกันหน่อย ปัจจุบันทำอะไรอยู่บ้าง

เขื่อน: เขื่อนนะครับ ถ้าในโซเชียลมีเดียอาจจะเรียกว่าเขื่อนดนัย บางคนก็เรียกว่าหมวย ในบางบริบทก็เป็นเขื่อน K-OTIC เป็นพี่เขื่อน บางคนอาจจะเรียกว่าอีหมวยหรืออีเขื่อนก็ได้ ก็แล้วแต่บริบทเลยครับว่าอยู่ที่ไหน Identity เขื่อนที่รู้สึกว่า Relate อันหนึ่งที่สุดเลยก็คือเป็นลูกชายของคุณแม่ครับ แล้วก็เป็นนักจิตบำบัด

 

ตอนนี้ก็เปิด Creative Space อยู่ที่ช้างม่อย เชียงใหม่ แล้วก็กำลังจะจบปริญญาเอกครับ คิดว่า 4 อย่างนี้เป็น 4 อย่างที่ตัวเอง Relate ที่สุด ณ จังหวะในชีวิตนี้ตอนนี้ครับ

 

 

พอพูดถึงนักจิตบำบัด ภาพเขื่อนกับ Mental Health ก็ตีคู่กันมาทันที อะไรที่นำพาเขื่อนให้เข้าสู่เส้นทางนี้ได้

เขื่อน: จริงๆ เขื่อนก็เริ่มจากการเป็นนักร้อง ก็คือทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งเขื่อนก็ Grateful มากครับ ก็รู้สึกดีมากเพราะรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ไม่ได้หาได้จากทุกที่ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้โอกาสนี้ ทุก Resource ทุกแรงซัพพอร์ตที่ทุกคนให้มาทำให้เขื่อนสามารถดูแลพี่สาวที่เป็นออทิสติกของเขื่อนได้ แล้วก็ดูแลคุณแม่ได้ แล้วก็ส่งตัวเองเรียนในสิ่งที่เขื่อนอยากเรียนได้

 

 

แต่มันก็มีช่วงในชีวิตที่เขื่อนก็ถามตัวเองบ่อยครับว่า ถ้าเราไม่ร้องเพลง เขื่อนคือใคร ถ้าไม่มีคนมาบอกเขื่อนว่าแบบ อุ๊ย! ยินดีด้วยนะเพลงติดชาร์ต อุ๊ย! เป็นเขื่อน K-OTIC เท่จัง แต่งตัวแบบนี้เท่จัง อะไรอย่างนี้ หันกลับมาคือเราไม่รู้เลยว่า Who am I without people telling me. ถ้าไม่มีใครบอกว่าเราเป็นใคร เราสามารถบอกตัวเองได้ไหมว่าเราเป็นใคร 

 

ตอนนั้นมันก็มีช่วงหนึ่งที่รู้สึกแบบนั้น ค่าของเราอยู่ที่ผลของงาน แล้ว Identity ของเราขึ้นอยู่กับชาวเน็ตและคนข้างนอกมากๆ กลายเป็นว่าเสียงของเรามันเบามาก… เราไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ก็เลยตัดสินใจว่ามันต้องมีอะไรเปลี่ยน ซึ่งไม่อยากใช้คำว่า Career Shift หรือว่า Career Path Change ด้วย เพราะว่ามันอาจจะไม่ใช่อาชีพด้วย มันคือการเป็นมนุษย์ของเขื่อนคนคนหนึ่งเลยว่า เขื่อนคือใคร เป็นอะไร และอยากทำอะไร

 

 

ก็ตัดสินใจว่าการร้องเพลงและวงการบันเทิงจะเบรกไว้แค่นี้เลย ซึ่งหลายคนตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าไปเบรกทำไม ช่วงนั้นมันพีคเลยนะ หยุดทำไม ก็เลยมานั่งคิดว่าทำอะไรดี พอนั่งคิดเรื่อยๆ ก็มองมาที่ Self-Work ก่อนว่าเราทำอะไรได้บ้าง และเราอยากทำอะไร ก็เจอว่าตั้งแต่เด็กเลย คุณแม่จะบอกตลอดเลยว่า คุณแม่มีลูกคนที่ 2 เพราะว่าอยากมีคนดูแลพี่สาว พี่สาวเขื่อนเป็นออทิสติก ก็เลยมีลูกคนที่ 2 มาเพื่อเป็น Caretaker

 

 

เพราะฉะนั้นเขื่อนเลยโตมาก็เป็นแบบไปโรงเรียนไม่ได้เล่นกับเพื่อน กินข้าวเที่ยงก็ต้องไปกินกับพี่สาว ทำความเข้าใจกับออทิสติก ทุกๆ อย่างเกี่ยวกับพี่สาวก็ Inspire เขื่อน แล้วคุณแม่เขื่อนก็เป็นไบโพลาร์ ก็รู้สึกว่าเราโตมากับความ Chaos ในบ้านค่อนข้างเยอะ เลยทำ Research เลยเจอว่า อ๋อมันมีเรื่องสุขภาพจิตนะ ตอนนั้นเรื่อง Mental Health และเรื่องสุขภาพจิตก็ยังไม่ได้บูมขนาดนี้ พอพาคุณแม่ไปหาหมอเลยมีประสบการณ์ร่วมตรงนี้กันไปเยอะเลย

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

จนวันหนึ่งพอคุณแม่เขาได้รับความช่วยเหลือ กินยาอะไรอย่างนี้ ท่านเคยมานอนร้องไห้ที่ตักแล้วก็บอกว่าเขาเสียดาย 40 ปีที่เขารู้สึกทุกข์มาตลอดชีวิต แต่ทุกวันนี้ท่านสุขมาก คุณแม่ Glow สุขจนมันเป็นแสงสว่างครับ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

ก็เลยรู้สึกว่าเอ๊ะเราโตมากับความวุ่นวายยุ่งเหยิงตรงนี้มากจนแบบเรามีความรู้กับพื้นฐานจนอาจจะอธิบายไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร ก็เลยลองสอบชิงทุนปริญญาโทของมหาวิทยาลัยไป ก็ได้มา เลยเปลี่ยนสายเลยครับ แล้วพอไปเรียนปุ๊บก็ชอบ พอชอบเสร็จปุ๊บก็ทำงาน ทำงานเสร็จปุ๊บชอบ ก็เลยเรียนเอกต่อเลย

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

ก็เลยมาเป็นจุดเริ่มต้นของจุดพักใจด้วย 

เขื่อน: ต้องบอกก่อนว่าจิตวิทยามันมีหลายสายเนอะ คนจะเข้าใจว่าคนเรียนจิตวิทยามาต้องเป็นนักจิตบำบัดหมดเลย จริงๆ มันมีหลายสายอาชีพมาก คนจบจิตวิทยามาจะเป็นจิตวิทยา HR ก็ได้ จิตวิทยา Business ก็ได้ จิตวิทยา Research ก็ได้ จิตวิทยา Clinic จะ Practice หรือ ไม่ Practice ก็ได้

 

อย่างเขื่อนมาสายแบบ Clinical Practice ก็คือเป็นนักจิตบำบัดเลยโดยตรง ก็ทำไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนอยู่อังกฤษเขื่อนรู้สึกว่าคำว่า Accessibility ที่อังกฤษมันชัดจริงๆ ต้องการเจอนักจิตบำบัดที่ Low Cost หรือว่า Free ก็มีองค์กรที่พร้อมซัพพอร์ตแล้วเต็มที่เลยนะที่ต้องรอ 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ไม่ได้รอเพราะคิวยาวนะครับ องค์กรมันเยอะจนคิวมันไม่มีเลย แต่มันรอนานเพราะว่าต้อง Match นักจิตบำบัดกับผู้ป่วยให้ถูกต้องที่สุด 

 

 

 

ตอนเด็กๆ ที่พาคุณแม่ไปหาหมอ ไปครั้งหนึ่ง 4,000-5,000 บาท แล้วเดือนหนึ่งไป 3 รอบ มันไม่ใช่อะไรที่ถูก คนจองคิวยากมาก ก็อาจจะใช้คำว่าไม่ค่อย Accessible ได้ พอไปอยู่ที่นู่นแล้วมัน Accessible ได้ก็รู้สึกว่าเจ๋ง ก็เลยลองไปทำจิตบำบัด จิตอาสา แล้วรู้สึกว่ามันเติมเต็มตัวเองครับ 

 

มันรู้สึกทุกครั้งที่ตอกบัตรเข้าทำงานว่าอันนี้คือเรา…เราที่มีความหมาย เขื่อนจะบอกเลยนะ การทำงานไม่ต้องมีความสุขตลอดนะ ถ้าเกิดเราเจองานที่เรามีความสุข เราเจองานที่ใช่ คือเขื่อน Disagree เขื่อนรู้สึกว่าความสุขมันมาแล้วก็ไป ไม่มีใครบนโลกทำงานแล้วมีความสุขทุกวัน เพราะมันจะมีบางวันที่เราเหนื่อย เราเศร้า เราทุกข์ ทะเลาะกับแฟน ทะเลาะกับป้าโต๊ะข้างๆ เพราะฉะนั้นทำงานแล้วมีความสุขตลอดเลย ไม่จริง แต่งานที่มีความหมายมีจริง

 

 

 

ตั้งแต่วันแรกที่ Practice มาจนถึงวันนี้เขื่อนยังไม่เคยเก็บเงินเลยนะ รู้สึกว่าเจอ Mind Calling แบบงานที่เราชอบ เราไปเก็บเงินทางด้านอื่นแล้วก็ทำอันนี้ให้ตัวเองไม่ Burnout มันเหมือนเขื่อนเจอบ่อน้ำของตัวเองครับ ก็เลยทำจิตบำบัดอาสาไปเรื่อยๆ ที่อังกฤษ จนทำไปได้เข้า 3-4 ปี ก็มีคำถามว่าเราอยากทำแบบจิตบำบัดเป็นภาษาไทยไหม เพราะเรียนมาก็คือเรียนเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย ก็เลยคิดว่าโอเค Challenge ตัวเอง มาทำที่ไทย ก็เลยตั้งโปรเจกต์ว่า ‘จุดพักใจ’

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

ตอนอยู่อังกฤษเขื่อนมีองค์กร NGO ที่เขา Match คนไข้มาให้แล้ว เราก็แค่มองพอร์ตว่าอันนี้เรารับได้ไหม เราทำกับเขาไหวไหม ถ้ารับได้ก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คือมีคนจัดให้ แต่พอมาที่ไทยมันไม่มีคนจัดให้ เขื่อนก็เลยคิดว่าจะทำยังไงให้มัน Normalize ให้เราไม่เลือกว่าความทุกข์ของใครสำคัญกว่าใคร เพราะว่ารู้สึกเท่ากับรู้สึก มันไม่มีความรู้สึกใครน้อยไปหรือมากไปครับ ก็เลยขึ้นคอนเซปต์เป็นว่าเราทำเป็นป้ายแล้วเราไปตั้ง 

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

ถ้าเกิดเราตั้งแล้วเขามาคุยกับเราแปลว่าเขาเลือกเรา เราไม่ได้เลือกเขา ซึ่ง Mechanic ของโปรเจกต์จุดพักใจนี้ก็คือ เขื่อนจะตั้งป้าย ไม่อัปโปรโมตอะไรเลย ที่คน Complain เยอะที่สุดก็คือไปไม่ทันแล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน คือตั้งใจครับ แล้วก็จะอธิบายทุกครั้ง เวลามีคนถามก็คือเขื่อนต้องการให้ Service ที่เขื่อน Provide มัน Resourceful กับคนในตรงนั้น พอตั้งป้ายตรงนั้นปุ๊บ นั่งสักพักคนก็จะมา ก็จะยื่นบัตรให้เขา บัตรจะมี 2 ด้าน ด้านแรกจะบอกเขาว่ามัน Confidential นะ ทุกอย่างที่เราคุยกันจะไม่มีการเอาไปเล่า เอาไปเขียน เอาไปบอกต่อ คุยตรงนี้จบตรงนี้ 

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

แล้วก็มีเวลาให้เขาตั้งแต่ 10-50 นาที แปลว่าระหว่างที่เขาคุยกับเรา เขาเป็นคนเลือกได้เลยว่าอยากคุย 10 นาที หรือ 50 นาที เราจะไม่บังคับเลย แล้วก็ยาวมาเรื่อยๆ แตกมาเป็นแบบย่อยๆ มีโปรเจกต์จุดพักใจป้าย แล้วก็โปรเจกต์จุดพักใจ ‘Call Me When You Need Me’ ที่เป็นแบบฉีกเบอร์โทรศัพท์แปะตามที่ต่างๆ แล้วก็ตอนนี้มีจุดพักใจที่เป็น Creative Space ครับ

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

 

มีโมเมนต์เหนื่อยหรือ Burnout จากการฟังเรื่องราวของคนอื่นบ้างไหม 

เขื่อน: ตอบแบบตรงๆ เลยเนอะ เหนื่อยไหม เหนื่อย แต่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยจิตวิญญาณ นั่งอยู่บนพื้นที่ไม่มีอะไรรองรับหลังเราเลย 9 ชั่วโมง Active Listening นั่งฟังแบบไม่ตัดสินใจเขา ไม่แย่งเขาพูด มันก็ใช้แบบ Mental Capacity เยอะ เพราะทุกครั้งที่เราฟังมันก็เหมือน Trigger บาดแผลตัวเองด้วย เพราะฉะนั้นถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่ไม่เหนื่อยใจ แล้วก็ไม่เหนื่อยจิตวิญญาณ พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บเขื่อนไม่มีคำว่า Burnout เลยครับ มัน Fulfill กับสิ่งที่ทำมากๆ เลย

 

 

เขื่อนตีความคำว่า Burnout ไว้อย่างไรบ้าง

เขื่อน: Burnout มันมีหลายเลนส์ให้มองมากเลย ไม่ว่ามันจะเป็นโรค หรือมันจะเป็นอะไร แต่สำหรับเขื่อน “The Burnout is when the meaning is gone.” ก็คือความหมายในสิ่งที่ทำมันหายไปแล้ว เขื่อนจะบอกตลอดเลยว่า Burnout เนี่ยต่อให้องค์กรจะส่งเราไปฮาวาย ไปสัมมนาที่เขาใหญ่ ให้เราพัก With Pay 3-4 สัปดาห์ มันไม่หาย เพราะจริงๆ มันไม่ใช่ว่าร่างกายมันหมด แต่ความหมายในการทำงานมันหมดแล้ว อันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องงานนะ เราสามารถ Burnout จากชีวิตงาน ชีวิตรัก งานอดิเรก ชีวิตเที่ยว ชีวิตเซ็กซ์ ได้หมดเลย

 

 

ถ้ามันหายไปแล้วไม่เป็นไร หาความหมายใหม่ได้ ให้โอกาสตัวเองหาใหม่ แต่ต้องคอยเติมเต็มตัวเอง เพราะถ้าเกิดเราไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ทำไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม เหมือนทำแค่ให้รู้สึกมีความสุขอะครับ ยังไงก็ Burnout อยู่แล้วครับ 

 

เขื่อนว่าตอนนี้หลายๆ ครั้งเรามีบริบทว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีความสุข ทุกคนก็เลยต้องการแบบ Pressure Dopamine Hit ตลอดเลย Dopamine ก็คือสารเสพติดความสุข พอไม่มีสุขปุ๊บก็บอกว่าชีวิตไม่ดี พอไม่ดีก็กดดันตัวเองว่าเอ๊ะเราผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า เขื่อนก็ไม่รู้ว่าเราเผลอไปรับบริบทนี้เมื่อไรว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีความสุข เพราะถ้าไม่มีสุข ชีวิตก็ไม่ดีแล้วสิ

 

 

แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราเอาความหมายนำ แปลว่าถ้าเกิดความหมายกับความสุขมันมาพร้อมกัน Good! แต่ถ้าวันไหนมันไม่มีความสุข มันมีความทุกข์ มันเหนื่อย มันล้า แต่ความหมายมันยังอยู่ เราไปต่อได้แล้วมันไม่ล้ม พอมันเป็นอย่างนี้ นี่แหละมันคือภาวะของคนที่ไม่ Burnout นี่คือ Definition ของ Burnout ของเขื่อนครับ

 

 

เขื่อนตีความมันได้ตอนไหนจำได้ไหม

เขื่อน: ตอนหย่า เพราะจำได้เลยว่า เราก็โตมาแบบ LGBTQIA+ จำได้ว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอมาตลอดก็เลยจะกดดันตัวเอง เรียนก็จะต้องเรียนทุน ต้องแต่งงาน ต้องจบเอกก่อน 30 ต้องมีลูก แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเลยคือการที่เราตั้ง Goal ไว้แล้วบอกว่า “ถ้าฉันทำได้หมดเนี่ยฉันจะเป็นคนที่ดีพอในสังคม” เชื่อไหมว่าหลอกตัวเองได้สำเร็จเกือบหมดเลยจนถึงวันที่หย่า หย่าเพราะเหมือนสิ่งที่ทำมันไม่ใช่เราจริงๆ สิ่งที่ทำมาทั้งหมดใจจริงคือไม่ได้อยากทำเลย

 

 

ณ วันที่ทำมันอยากทำนะ แต่มันทำเพื่อ Please คนอื่น Please คนที่เราไม่รู้จัก Please สังคม Please ใครก็ไม่รู้  พอวันที่หย่าปุ๊บเป็นวันแรกที่เหมือนได้ใช้ชีวิตเลย สิ่งที่เราเคยมองว่าเป็น 3 สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา เราทำมันได้แล้ว แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว… แล้วอะไรมันสำคัญ? มันเลยมีช่องว่างให้เราเล่นได้อีกเยอะเลยครับ  

 

พูดถึงการที่เราเป็นจุดพักใจให้คนอื่น เขื่อนมีจุดพักใจเป็นของตัวเองบ้างไหม 

เขื่อน: มีครับ ถ้าไม่เห็นเขื่อนทำงานหรือถ่ายคอนเทนต์ I like to be home with my glass of wine. แล้วแบบ Zone Out เพราะเขื่อนหวง Energy Flow ของตัวเองมากๆ เลยครับ พอโตมายิ่งเรียนรู้ได้ว่าอันไหนที่เก็บได้อยากเก็บ อันที่ไหน Cherish ได้ว่าอันนี้อยากให้มีแค่เรากับคนกลุ่มนี้รู้พอ ไม่ต้องบอกหมด ไม่ต้องแชร์หมด เพราะมันจะมีกลุ่มคนที่พร้อมจะไม่ Appreciate Energy เรา แล้วมีคนที่พร้อมจะแบบเกลียดเรา พร้อมไม่เข้าใจเราครับ เพราะงั้นเขื่อนมีเพื่อนแค่ 6 คนที่เป็นเพื่อนแบบเข้าใจเขื่อนจริงๆ ถ้าเขื่อนมีอะไร โทรไปหรือคุยไปอย่างนี้ เขา Ready to Pick Up. แล้ว Ready to be there. แล้วเขื่อนก็มีอีก 1 จุดก็คือ ‘คุณแม่’ เป็นจุดที่สำคัญมากๆ เลยครับ

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุด ขนาดนักจิตบำบัดอย่างเขื่อนเองมีนักจิตบำบัดส่วนตัวที่เขื่อนเจอ เป็น Safetiness ที่สามารถทำให้เขื่อนทำงานได้เรื่อยๆ ไม่มีหรอกคนที่ฟังเรื่องคนอื่นแล้วไม่เก็บมาคิดได้ แต่มีคนที่เซ็ตระบบตัวเองดีจนฟังแล้ววาง แล้วปล่อยต่อได้ครับ

 

เรียกว่านักจิตบำบัดเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน 

เขื่อน: 100% เขื่อนพูดตลอดว่านักจิตบำบัดเป็นมนุษย์ นักจิตบำบัดเขายังมีเวลาที่บอกว่า เฮ้ยตอนนี้ไม่เจอคนไข้นะ เจอคนไข้คนหนึ่งได้แค่ 50 นาทีนะ ยังบอกได้เลย เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นเพื่อนของใครคนหนึ่ง ถ้าเราไม่พร้อมรับโทรศัพท์ใครหรือให้กำลังใจใคร เรามีสิทธิ์บอกเขานะว่าวันนี้เราไม่พร้อมเพราะว่าเรายังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ถ้าฉันช่วยตัวเองไม่ได้ ฉันก็ช่วยเธอไม่ได้เหมือนกัน

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

จาก 4 ปีที่เขื่อนทำจุดพักใจแบบนั่งฟัง Active Listening วันนี้เรามาถึง Creative Space ที่เชียงใหม่ อะไรจุดประกายให้เขื่อนเริ่มโปรเจกต์นี้ขึ้นมา

เขื่อน: จริงๆ จุดประสงค์ของโปรเจกต์จุดพักใจมันมีหลาย Agenda มากเลยนะครับ แต่ Agenda ที่สำคัญที่สุดจริงๆ ไม่ใช่การ Provide Listening นะ เพราะถ้าเขื่อนไป Listening เต็มที่ เขื่อนทำทุกวันได้วันละ 8 คน แต่เมืองไทยมีคนเท่าไรนึกออกไหมครับ จริงๆ แล้วโปรเจกต์นี้ Undertone ของมันคือทำให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วเราไม่ต้องไปถึง Professional Health ทันที 

 

เราสามารถซัพพอร์ตกันในฐานะ Community เป็นพื้นที่ปลอดภัยของกันและกันได้ เช่น เพื่อน คนรู้จัก คนรอบข้าง เราสามารถซัพพอร์ตกันและกันได้ก่อนจะถึง Professional Health จริงๆ แล้วที่ต้องการความช่วยเหลือจากหมอจริงๆ อาจจะอยู่ที่ 5% หรือ 7% อีก 80% นี่เราสามารถซัพพอร์ตไปด้วยกันแบบมี Community Support ที่ดี อันนี้คือ Undertone ที่ไม่เคยบอกใครที่ไหนของโปรเจกต์จุดพักใจ

 

 

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สังคมและหลายๆ คนต้องการเลยก็คือใครคนหนึ่งมาฟังเราแบบ Active Listening ฟังกันโดยที่ไม่ตัดสินกันได้ครับ พอทำเสร็จเนี่ยเราก็รู้สึกว่าเราเซ็ตได้ระดับหนึ่งแล้ว แล้วตัวโปรเจกต์มันก็สามารถรันต่อ ที่แปลว่าไม่ต้องเป็นเราแล้ว เป็นคนอื่นที่มาตั้งป้ายจุดพักใจได้เลย

 

ตอนเราอยู่อังกฤษ มันจะมีสเปซเยอะมากเลยที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย แบบเยาวชน ผู้สูงวัย คนอายุเยอะ เด็ก สามารถไปใช้ได้เพื่อ Explore สิ่งที่เขาอยากหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเซ็กซ์แบบปลอดภัย คนที่เขาเสพยาเสพติด เราจะไปบอกเขาเลยว่าหยุดเสพ มันไม่ได้ อย่าลืมนะว่าเขาไม่ได้เลือกที่จะเสพเองแล้ว เขาอยู่ในภาวะที่ร่างกายเขาเสพติด ถ้าเขาไม่เสพอาจจะมีอาการช็อกได้หรือมันเหมือนจะตายเลยครับ หลายๆ ครั้ง คนไม่สามารถหยุดเล่นยาได้เพราะกลัวคน Judge และพอกลัวคน Judge อีกก็หนีโลกนี้ไปด้วยการเล่นยาเพิ่ม เพื่อ Dissociate เข้าไปอีก ไม่ต่างอะไรกับ Alcoholic เลย

 

 

เขื่อนก็รู้สึกว่าอยากมีสเปซที่รู้สึกว่าแบบไม่ต้องเช่า ใช้ฟรี ปลอดภัย แล้วก็ไม่เลือกแค่อะไรที่เป็นแบบคอนเทนต์ที่มันรู้สึกว่าแบบขาวสะอาด แต่มันพร้อมจะรับทุกเอเนอร์จี้ทุกอย่างเข้ามาเลยครับ ก็เลยมาเจอตึกนี้แล้วก็ตัดสินใจเปิดเลยครับ เพราะอันนี้เขื่อนพูดตลอดเลยว่าที่ชั้น 3 เราจะเปิดเป็นแบบ Excel Timetable ให้เลยครับ แล้วใครอยากมารันเวิร์กช็อปอะไร มีคอมมูนิตี้อะไรมา Explore อะไร ก็คือยินดีมากๆ เลย ซึ่งเขื่อนเองก็จะไปวางเวิร์กช็อปด้วย ทำจิตบำบัดฟรีด้วย แล้วก็มี Art Gallery ฟรี อะไรฟรี อย่างนี้ครับ ก็เลยเป็น Passion Project ที่สนุกมาก

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by JOODPAKJAI (@jpj.space)

 

 

ทำไมถึงต้องเป็นเชียงใหม่

เขื่อน: จำได้ว่ามียุคหนึ่งเคยขึ้นไปเชียงใหม่แล้วรู้สึกว่าในกลุ่มเพื่อนเรา เราโดนวางคาแรกเตอร์มาเป็นคนที่เย็นที่สุดในกลุ่ม แต่ทางกลับกัน พอไปอยู่เชียงใหม่ เพื่อนเราพาไปกิน Local Slow-Cooked Food แล้วเพื่อนเราก็นั่งจอย รู้ตัวอีกทีก็คือเรา Refresh มือถือเพื่อเช็กเมลงาน เช็ก Call ผู้จัดการโทรมาหรือเปล่า บริษัทติดต่อมาหรือเปล่า กลายเป็นว่าตัวเองที่นึกว่าเป็นคนเย็นจริงๆ เราก็หลุดไปใน Flow ของความแบบเร่งรีบในการใช้ชีวิตเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เรามาที่นี่เพื่อ Holiday ก็เลยกลับไปตกตะกอนตัวเองได้ว่า เราก็ควรจะมีสเปซบางที่ที่เราสามารถ Reconnect กับตัวเองกับ Flow ตรงนั้นได้หรือเปล่า ก็เลยรู้สึกว่าค่อนข้าง Connect กับเชียงใหม่มาก ก็เลยขึ้นไปเปิดสเปซที่เชียงใหม่ครับ

 

 

จำวันแรกที่ไปดูที่ได้ไหม

เขื่อน: จำได้ จำได้มากก็คือไปดูแล้วก็รู้สึกว่าโห ต้องบอกก่อนว่าเขื่อนเป็นคนชอบทำของที่ไม่สวยให้สวยในสายตาเรา ทำอะไรที่มันแบบ Nitty-Gritty ให้มันออกมาแล้วแบบมันมีค่า แค่ต้องเห็นคุณค่าของมัน 

 

จำได้ว่ามีตึกหนึ่ง หนึ่งใน Co-Founder แหละครับพาไป “เขื่อนไปดูกันไหม มันเคยเป็นบาร์” แล้วเขื่อนก็เข้าไป บาร์อะไร Partition ตั้งเป็นแบบล็อกๆ เข้าไปดูก็รู้สึกแล้วว่าของมันมาและ รู้สึกดี ขอดูชั้น 2 เลยครับ ตอนนั้นขึ้นบันได บันไดมันเสี่ยงตายมากเลย มันไม่ใช่บันได มันเป็นโครงเหล็ก ขึ้นไปชั้น 2 เห็นเป็นแบบแค่ลูกฟูก ไม่มีเตียงนะ แค่ลูกฟูกกับพื้นแล้วก็ถุงยาง Everywhere เลยครับ อันนั้นคือวันที่ตัดสินใจเลยว่าฉันเอาตึกนี้ เพราะมันมีเอเนอร์จี้ที่แรงในตึกนั้น มันมีเอเนอร์จี้ที่แบบ Very Nitty-Gritty มันเหมือนกับทุกๆ อย่าง มันเหมือนความรู้สึก มันเหมือนคน ไม่มีคำว่าดีหรือไม่ดี มันมีแค่คำว่าเอเนอร์จี้ครับ

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by JOODPAKJAI (@jpj.space)

 

 

คือรู้สึกว่าถ้ามวลพลังงานมันเยอะขนาดนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรให้ที่ตรงนี้เป็นคอมมูนิตี้ออกมา ก็ตัดสินใจเอาตึกนี้ แล้วก็ลอกเนื้อเก่าออกหมดเลยครับ เก็บไว้แค่โครงแล้วก็ทำใหม่เป็นตึกตรงนี้ครับ แฮปปี้มาก แล้วบัญชีก็บ่นมากเพราะว่าลงทุนเกือบ 10 ล้านครับ แต่สนุกมากๆ เลยครับ

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

วันแรกที่ทุกอย่างออกมาเป็นรูปร่างเสร็จสมบูรณ์ รู้สึกอย่างไร

เขื่อน: มีหลายความรู้สึกมาก อย่างที่เขื่อนบอกครับเขื่อนเป็นคนหวงเอเนอร์จี้ตัวเองมาก ที่หวงเอเนอร์จี้ตัวเองเพราะว่าทุกวันนี้เรียนรู้ว่ามันมีคนที่พร้อมจะฟังเราครับ แล้วก็มีคนที่ไม่ได้อยากฟังเราตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และเรื่องที่ได้รับความช่วยเหลือก็เหมือนกันครับ

 

 

ตึกนี้ก็เหมือนกัน ตอนทำก็เลยไม่บอกใคร ไม่แชร์ ไม่ลงโซเชียล ไม่หาสปอนเซอร์ อยากทำจนกว่าจะเสร็จ เปิดอีกทีก็คือแบบ Soft Opening อัปไอจีเลยจริงๆ ก็คือตอน Grand Opening แล้ว รู้สึกแฮปปี้มาก รู้สึกแฮปปี้เพราะว่าพอเปิดปุ๊บ คนที่มาก็จะแบบ…“พี่เขื่อนเปิดที่ทำเวิร์กช็อปฟรีเหรอ หนูทำเวิร์กช็อปไปรันได้ไหมคะ” แล้วคนที่มาก็จะสนับสนุน “ขอบคุณที่มา Elevate ที่ตรงนี้ให้มันแบบเป็น Community Space นะ”

 

 

มันกลายเป็นว่าเราเห็นเลยว่าคนที่มีเอเนอร์จี้ใกล้ๆ เราจะดึงดูดคนที่เอเนอร์จี้คล้ายๆ เรา เพราะฉะนั้นวันที่เปิด คนที่มาหรือคนที่มาซัพพอร์ตเราคือมันชื่นใจเลยว่าเออได้ทำแล้ว มันยังไม่ใช่ความสุขว่าทำสำเร็จแล้วนะ แต่มันเป็นการสำเร็จที่ว่าเออได้เริ่มต้นทำแล้วอะไรอย่างนี้ครับ แฮปปี้มากเลยครับ

 

 

เริ่มมีเวิร์กช็อปอะไรบ้างที่มาติดต่อ 

เขื่อน: เราก็จะมีแบบ Sound Bath, Sound Healing ล่าสุดมีคนติดต่อน่ารักมาก ขอทำ Pilates ฟรีให้กับผู้ป่วยมะเร็ง มันจะมีเวิร์กช็อปประมาณนี้เข้ามาเรื่อยๆ ครับ

 

ดีมากเลย ถือเป็นการส่งต่อโอกาสให้ผู้อื่นไปเรื่อยๆ 

เขื่อน: มาก แล้วคนก็จะไม่เข้าใจเยอะว่าทำทำไม ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วได้เงินจากไหน เราก็บอกเลยว่าทำแล้วมัน Spiritually ไม่ Burnout แน่นอน ชั้น 1 มันคือร้านกาแฟ การที่ Passion ไปต่อได้มันต้อง Sustainable ก่อน ไม่งั้นเราก็จะควักทุกอย่างของเราออกมาจนหมด ทำให้เราไม่สามารถไปทำอะไรต่อได้

 

 

ถ้ามัน Sustainable แล้ววันที่เขื่อนไม่อยู่มันก็รันตัวเองได้ด้วยตึก เพราะตึกก็มีค่าเช่าเดือนหนึ่งก็หลายหมื่นนึกออกไหมครับ ตึกเรามีพนักงานอีก 8 คน บวกค่าตึก ค่าน้ำ ค่าไฟ 4 ชั้น เปิดเวิร์กช็อปรันทุกอย่างอีก โจทย์แรกเลยก็คือว่า How to provide care but make it sustainable? ไม่ใช่แคร์จนมันหมดหน้าตักเราอะไรอย่างนี้ครับ

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by JOODPAKJAI (@jpj.space)


 

เวลาเขื่อนอยู่ร้านนะ คนที่เข้ามาก็ Very Respectful บางคนเข้ามาอยากอ่านหนังสือ เรามี Free Library เขาก็ไปอ่านหนังสือแล้วก็เงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร คนที่เข้ามาแล้วอยากแฟชั่น Self Expression ก็แต่งตัวทำผมขึ้นไปนั่งบนบาร์ เขาก็เต็มที่ของเขา คือทุกคนมาด้วยเอเนอร์จี้ที่รู้ว่าตรงนี้สามารถเป็นตัวเองแล้วอยากทำอะไรก็ได้ ซึ่งมันตอบโจทย์เรามากเลยครับ เพราะ Healing มันไม่ได้มี Healing แบบเดียว มันมี Healing หลายรูปแบบ แล้วด้วยตัวตึกมันก็ทำได้หลายรูปแบบเลยครับ

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by JOODPAKJAI (@jpj.space)

 

 

จริงๆ ที่แห่งนี้เหมือนเป็นที่เติมเอเนอร์จี้ให้เขื่อนเองด้วย

เขื่อน: สุดๆ ครับ เขื่อนบอกตลอดเลยนะทุกครั้งที่เราทำให้ใครยิ้มได้ ตัวเราเองก็ยิ้ม ทุกครั้งที่เราฮีลคนอื่น แผลของเราที่สะสมมาเรื่อยๆ ก็ฮีลบางส่วนด้วยครับ เขื่อนจะพูดตลอดเลยว่า “Hurt people hurt people.” คนที่ถูกทำร้ายมาก็ทำร้ายคนอื่นต่อ “But healed people also heal other people too.” เขื่อนว่าเหมือนกันเลยครับ มันเป็นโลกคู่ขนานครับ 

 

 

 

 

หลายคนมองว่าชีวิตเขื่อนทำอะไรหลายอย่างมากมาย เขื่อนมองว่าการมีอาชีพที่ 2 ในสังคมสมัยนี้เป็นอย่างไร

เขื่อน: ชอบคำถามนี้มากครับ ขออนุญาตส่งต่อคำตอบนี้ให้กับคนในยูทูบแล้วกัน ที่เขาเล่าว่าจะมี Passive Income จะมีอะไร ให้เป็น Professional เหล่านั้น เดี๋ยวเขื่อนทำพาร์ตของเขื่อนเอง พาร์ตของเขื่อนคือ “Because our life is limited. We are limitless.” เพราะเราตระหนักได้ว่าชีวิตเรามันมีสิ้นสุด แล้วจริงๆ มันสั้นนะเทียบกับอายุโลก อายุกาแล็กซี อะไรอย่างนี้ เรานี่เล็กยิ่งกว่าเม็ดทรายอีกครับ

 

 

เทียบกับโลกที่มีมาตลอดชีวิต เขื่อนคือไร้ค่า ไม่มีความหมาย เขื่อนแค่เกิดมาแล้วก็หายไป แบบเร็วมาก ไม่ได้เอฟเฟกต์อะไรในไทม์ไลน์เลย พอยอมรับตรงนี้ได้มันเลยเห็นว่า อ๋อ เพราะว่าเขื่อน Meaningless เขื่อนไม่มีความหมาย เขื่อนเลยสามารถสร้างความหมายให้ตัวเองแบบอินฟินิตีได้เลย 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 


ในช่วงชีวิตที่เขื่อนมีสั้นๆ บนโลกนี้ครับ มันเลยทำให้เขื่อนแบบวันนี้แต่งหญิง อีกวันไปสอนหนังสือใส่สูท อีกวันเป็นนักจิตบำบัดซีเรียส อีกวันถ่ายคอนเทนต์แกล้งคุณแม่ อีกวันเป็นยัยหมวย อีกวันอ้อนแฟนแบบเป็นตัวเล็ก เขื่อนไม่อายที่จะเป็นหลายๆ อย่าง แล้วทำหลายๆ อย่าง 

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

แต่ก่อนโดนเยอะมากเลยว่าแบบ “เป็นนักจิตบำบัดต้องสำรวมนะ จะมาแต่งตัวอย่างนี้ไม่ได้” เขื่อนจะ Challenge เลยว่าทำไมไม่ได้ ก็เขื่อนไม่อยากเอางานกลับบ้าน แล้วเขื่อนก็ไม่รู้สึกจำเป็นว่าต้องเอาของที่บ้านไปที่งานด้วย ไม่เห็นจะต้องบอกคนที่งานเลยว่าเรามีอะไรอย่างนี้ แล้วก็ไม่รู้สึกว่าเราต้องเอางานของเรากลับไปที่บ้าน แล้วเมื่อเส้นบางๆ มันหายไปเหมือนเราแยกไม่ออก เราเหมือนเอางานเป็น Personality เรา

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

เขื่อนต้องการที่จะเป็นคู่รักที่ดีเมื่ออยู่กับแฟน เป็นเลกเชอร์ที่ให้เด็กได้เต็มที่ที่สุด เป็นนักจิตบำบัดที่พยายามสนุกที่สุด เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่สนุกกับคอนเทนต์ของตัวเอง และเป็นลูกที่เล่นกับแม่ได้มากที่สุด เขื่อนไม่อยากเป็นเลกเชอร์กับคุณแม่ แล้วเขื่อนก็ไม่อยากเป็นไอ้ตัวเล็กกับคนไข้เขื่อน และเขื่อนก็ไม่อยากเป็นนักจิตบำบัดกับแฟนด้วย นึกออกไหม เพราะถ้ามันคิดอย่างนี้แล้วมัน Limitless จริงๆ 

 

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Pataradanai Setsuwan (@koendanai)

 

 

แล้วคอนเซปต์นี้คือ ณ ตอนอยู่ที่อังกฤษครับ เขื่อนมีเพื่อนเยอะมากที่วันธรรมดา Weekdays เป็น Banker ใส่สูทผูกไท เสาร์อาทิตย์เต้นอะโกโก้ เต้นอะโกโก้ที่แก้ผ้าแล้วใส่กระจิ๋วเดียวเต้น เราไปเชียร์เพื่อนทิปเพื่อน แล้ววันไหนที่มันว่างมันก็ไปคอลแลบถ่าย OnlyFans อะไรอย่างนี้ เราเป็นคนขี้สงสัย เราก็ไปถามเขาว่าชีวิตมัน Limitless ขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็ตบไหล่แล้วเขาก็บอกว่า “เขื่อนยูก็พอๆ กัน ยูแค่ลืมว่ามันเป็นอีกเลนส์หนึ่ง​” ก็เลยแบบ “เออจริงด้วย” เขื่อนรู้สึกว่าทำไมเราต้องมาจมอยู่กับบริบทเดียวในชีวิตด้วยทั้งๆ ที่เราทำได้หลายอย่าง

 

แล้วสำหรับคนที่เขายังกลัวที่จะเริ่มทำอะไรใหม่ อยากบอกอะไรกับคนเหล่านี้

เขื่อน: กลัวได้ เขื่อนจะพูดตลอดว่าการมีภาวะกังวล การกลัว มันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์นะ เรากลัวเพราะอะไร เพราะเรารู้ว่าชีวิตเรามีจำกัด แล้วเรากลัวว่าถ้าเกิดเราทำแล้วเราจะพลาด ถ้าพลาดแล้วเราจะกลับไปเปลี่ยนไม่ได้มันเลยกลัว

 

 

กลัวได้ไม่ผิด แต่ถ้ามันกลัวจนตัวเราหยุดนิ่ง แข็งแล้วทำอะไรต่อไม่ได้ อันนั้นอาจจะเป็นอุปสรรคในการแบบค้นหาตัวเองได้ครับ อาจต้องค่อยๆ เริ่ม Work on yourself. เพราะสุดท้ายแล้วเขื่อนอยากบอกทุกคนว่ามันจะมีคนที่ไม่ชอบเรา เพราะงั้นถ้าเกิดเราทำอะไร เป็นตัวของตัวเองเมื่อไร ทำในสิ่งที่เราชอบเมื่อไร มันจะมีกลุ่มคนไม่มากก็น้อยไม่ชอบเราถึงเกลียดเราเลย แล้วเราก็ทำให้ตัวเองเล็กลงเรื่อยๆ เพื่อที่จะไม่โดนคนเกลียดครับ เพราะฉะนั้นถ้าอยากเป็นตัวของตัวเอง อยากทำสิ่งที่เธอทำ มันจะมีคนที่ไม่ชอบเรา ไม่เข้าใจอยู่แล้ว

 

 

อย่าให้ความกลัวนี้หยุดตัวเองที่จะทำ เขื่อนพูดกับคนใกล้ตัวตลอดเลยว่าอยากเป็นผู้สูงวัยที่นั่งกินไวน์ก็ได้ ชาก็ได้ อะไรก็ได้ แล้วแบบ เออวันนั้นกูดีใจที่ไม่เลือกทำสิ่งนี้เพราะมีคนมาไม่ชอบพอดี เพราะวันนี้ที่เราแก่ คนที่ไม่ชอบเราก็หมดแรงแล้ว มันด่าเราไม่ไหวแล้ว แต่เราที่ไม่เสียดาย ไม่อยากเป็นคนที่อายุเยอะแล้วมานั่งแบบเสียดายที่ไม่ได้ทำเพราะวันนั้นมีคนที่เราไม่รู้จักด้วยซ้ำมาไม่ชอบเรา

 

 

พูดถึงความกลัวในทางสุขภาพจิต บางคนกลัวที่จะเล่าปัญหาตัวเอง หรือยังไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งที่ตัวเองเผชิญไปได้ เขื่อนอยากฝากอะไรถึงคนเหล่านั้น

เขื่อน: รู้สึกเท่ากับรู้สึก เขื่อนจะพูดตลอดเลย ตอนนี้เหมือนเราคุ้นเคยกับบาดแผลหลายๆ อย่างที่เราเจอมา ไม่ว่าจะเป็นการที่แบบคุณครู คุณพ่อ คุณแม่ หรือแฟนบอกว่าเราเยอะเกินไป เรามากเกินไป เรารู้สึกเกินไป เราคิดน้อยไปอะไรอย่างนี้ มันไม่มีนะ We are never too much.

 

 

คนที่มาบอกเราเขาอาจจะเป็นน้ำเต็มแก้วแล้วเขารู้สึกว่าเรามันเกินกว่าบรรจุภัณฑ์ของเขา ถ้ารู้สึกแล้วเท่ากับรู้สึกครับ Reach Out ได้เลย ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นซึมเศร้า ขนาดซึมเศร้าคนยังถามเยอะเลย ต้องเป็นซึมเศร้าแค่ไหนถึงจะไปหาหมอได้ ไม่ต้อง ถ้าเกิดเป็นแล้วไปได้เลย เราให้ Professional Health บอกเองว่าต้องได้รับการรักษามากน้อยแค่ไหน เพราะอย่าลืมว่าเวลาคนมาบอกเราว่าอันนี้คิดเยอะไป อันนี้คิดน้อยไป เขาไม่ได้พูดถึงเรานะ เขาพูดถึงประสบการณ์ชีวิตของเขาที่เขาโดนคนอื่นกดดันมาเหมือนกัน และเขาก็มากดดันเราต่อ อย่าให้ตัวเองเข้าไปสู่วงโคจรอุบาทว์ของการที่ขออนุญาตคนอื่นเป็นมนุษย์ที่จะรู้สึก

 

 

 

สิ่งที่เขื่อนได้เรียนรู้จากการเป็นจุดพักใจให้คนอื่นจนถึงทุกวันนี้

เขื่อน: อยากให้คนฟังกันมากขึ้น ตอนนี้เหมือนเราฟังกันเพราะว่าเราต้องฟัง เราต้องฟังคนข้างๆ เพราะเรากลัวว่าถ้าเราไม่ฟังจะกลายเป็นเพื่อนที่ไม่ดี กลายเป็นคนที่ไม่ดีพอ อยากให้ฟังที่เขาเป็นเขา จริงๆ การฟังคนคนหนึ่งเราไม่ต้องมี Quote ที่ดีที่สุด คำคมที่ดีที่สุด หรือมีคำตอบที่ดีที่สุดนะ เพราะถ้าเกิดเรามัวแต่ไปโฟกัสตรงนั้น เราไม่ได้ไปฟังเขาแล้วนะ เราฟังเขาเพื่อที่เราจะตอบให้ตัวเองรู้สึกดี Active Listening is Gone. You’re not listening to them.

 

 

การฟังที่ดีที่สุดก็คือเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา ไม่ต้องไปเปลี่ยนเขา แต่ให้เขารู้ว่าความรู้สึกยากๆ มันมาได้ตลอด และทุกครั้งที่มันมาเขาไม่ต้องอยู่คนเดียว เขาสามารถมีคนคนหนึ่งสามารถรู้สึกไปกับเขาได้

 

 

เขื่อนอยากบอกอะไรกับตัวเองในวันนี้ถึงการเดินทางครั้งใหม่กับ JOODPAKJAI 

เขื่อน: ถ้าวันไหนลืมไปแล้วแบบไปโฟกัสและเครียดเกิน ให้บอกตัวเองว่า “Make sure you have fun. Make sure it’s meaningful and make sure you do it your best.” ขอให้สนุก ขอให้มีความหมายกับตัวเอง และขอให้ทำให้ดีที่สุด พอแล้วครับ

 

 

ขอบคุณสถานที่: The Standard, Bangkok Mahanakhon

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising