วันนี้ (22 พฤษภาคม) เนื่องในวันวิสาขบูชา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรมความว่า ดิถีวิสาขบูชาคล้ายดิถีประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง ควรที่พุทธบริษัททั้งหลายจักได้พร้อมเพรียงกันบำเพ็ญบุญกิริยา กระทำสักการบูชาพระรัตนตรัยเป็นกรณีพิเศษ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยพระบริสุทธิคุณ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง และทรงถึงพร้อมด้วยพระมหากรุณาคุณ สั่งสอนเวไนยสัตว์ให้บรรลุถึงสุขประโยชน์ตามควรแก่ธัมมานุธัมมปฏิบัติได้
ทั้งนี้ ก็ด้วยพระปัญญาคุณ จึงควรที่สาธุชนทั้งหลายจักได้มุ่งมั่นเจริญ ‘ไตรสิกขา’ ตามรอยพระบาทของพระบรมศาสดา เพื่อความสมบูรณ์พร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา บนวิถีแห่งอริยมรรค ขอจงอย่าประมาทมัวเมา เผลอปล่อยเวลาในชีวิตให้ล่วงผ่านไปเปล่าดายโดยปราศจากการอบรมเจริญไตรสิกขา หากแต่ควรตระหนักไว้เสมอว่า ชีวิตมนุษย์เป็นของน้อย มรณภัยอาจมาถึงได้ทุกขณะ ไม่จำกัดเฉพาะแต่เมื่อถึงวัยแก่เฒ่าแต่เท่านั้น
ถ้าปล่อยขณะให้ผ่านไปโดยปราศจากศีล สมาธิ และปัญญา ชีวิตนี้ก็นับว่าไร้ค่า น่าเสียดาย เพราะฉะนั้นการระลึกถึงความตายหรือการเจริญ ‘มรณัสสติ’ จึงนับเป็นมงคล เป็นเหตุนำมาซึ่งความเจริญ มิใช่เรื่องน่าหดหู่เศร้าหมอง
หากแต่เป็นเครื่องช่วยระงับความโลภ ความโกรธ และความหลง ให้สงบลง ทั้งยังช่วยปลุกเร้าจิตใจให้เบิกบานหาญกล้าที่จะบำเพ็ญคุณความดียิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อบุคคลรู้จักปล่อยวางจากการยึดถือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา บุคคลนั้นย่อมประสบสันติในใจตนเองและย่อมแผ่ขยายอานุภาพไปเกื้อกูลสันติภาพในครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ได้ต่อไป
ดิถีวิสาขบูชาปีนี้ จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนตั้งปณิธานให้แน่วแน่ ในอันที่จะพัฒนาตนเองตามหลักไตรสิกขา ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเปิดโอกาสให้สันติสุขที่แท้จริงมาสถิตในจิตใจตนและในสังคม สมด้วยพระพุทธานุสาสนีที่ว่า “กาลทั้งหลายย่อมล่วงไป ราตรีทั้งหลายย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป บุคคลเมื่อเห็นภัยนี้ในมรณะ พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสันติเถิด”
จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม ธมฺเม โหนฺตุ สคารวา. ขอพระสัทธรรมจงดำรงคงมั่นอยู่ตลอดกาลนาน และขอสาธุชนทั้งหลายจงมีความเคารพในพระธรรมนั้น เทอญ.
อ้างอิง: