×

เกร็ดก่อนดู The Fall Guy จดหมายรักจาก David Leitch ถึงสตันท์แมนและทีมงานเบื้องหลัง

24.04.2024
  • LOADING...

Ryan Gosling และ Emily Blunt ถือเป็นสองนักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูดที่ต่างก็ได้รับการยอมรับจากผู้ชมทั่วโลก ทั้ง Ryan Gosling ที่เคยฝากผลงานการแสดงมาแล้วหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็น La La Land (2016), Blade Runner 2049 (2017) และ Barbie (2023) กับบทบาทของ Ken ที่ผู้ชมหลงรัก ส่วน Emily Blunt ก็มีผลงานอันเป็นที่จดจำของผู้ชมมากมายไม่แพ้กัน เช่น The Devil Wears Prada (2006), A Quiet Place (2018) และ Oppenheimer (2023) ในบทบาทการแสดงที่น้อยแต่ทรงพลังอย่าง Kitty Oppenheimer 

 

และในปีนี้ทั้งคู่ก็กำลังจะโคจรมาพบกันในภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดี้ที่น่าจับตาแห่งปีกับ The Fall Guy ผลงานล่าสุดจาก David Leitch ผู้กำกับสายสตันท์แมนที่อยู่เบื้องหลังผลงานสุดมันอย่าง Deadpool 2 (2018) และ Bullet Train (2022) วันนี้ THE STANDARD POP ไม่พลาดที่จะรวบรวมเกร็ดน่าสนใจจาก The Fall Guy มาให้ทุกคนได้อุ่นเครื่อง ก่อนไปร่วมออกบู๊กับ Ryan Gosling และ Emily Blunt พร้อมกัน 25 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ 

 

 

เมื่อสตันท์แมนมากเสน่ห์ที่กำลังตามง้อแฟนเก่าดันเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน 

 

The Fall Guy ว่าด้วยเรื่องราวของ Colt Seavers (Ryan Gosling) สตันท์แมนหนุ่มมากเสน่ห์ที่ได้โคจรกลับมาร่วมงานกับ Jody Moreno (Emily Blunt) อดีตแฟนสาวและผู้กำกับหญิงดาวรุ่งที่กำลังมุ่งมั่นสร้างภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ของตัวเอง Colt จึงพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อหวังว่าจะได้กลับมาคืนดีกับเธออีกครั้ง 

 

แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Tom Ryder (Aaron Taylor-Johnson) ซูเปอร์สตาร์ที่เป็นนักแสดงนำของเรื่องกลับหายตัวไป Colt จึงต้องรับหน้าที่ตามหาตัว Tom กลับมาถ่ายภาพยนตร์ให้จบ แถมเรื่องราวยังบานปลายกว่าเดิม เมื่อ Colt ดันพบว่า Tom ถูกฆาตกรรม จนทำให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับกลุ่มคนสีเทา เรื่องราวสุดวุ่นวายที่ Colt ต้องหาทางเอาชีวิตรอดไปพร้อมกับเอาชนะใจอดีตแฟนสาวให้สำเร็จจึงเริ่มต้นขึ้น 

 

 

David Leitch สตันท์แมนมากประสบการณ์ และผู้กำกับสายแอ็กชันสุดเดือด 

 

David Leitch มีความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้หรือ Martial Arts มาตั้งแต่วัยเด็ก เขาจึงเริ่มต้นศึกษาและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หลายแขนงด้วยตัวเอง และภายหลังจากเรียนจบเขาจึงตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ของตัวเอง ก่อนที่เขาจะได้ทำงานเป็นสตันท์ดับเบิลให้กับนักแสดงชื่อดังหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Brad Pitt ใน Mr. & Mrs. Smith (2005) และ Matt Damon ใน The Bourne Ultimatum (2007) รวมถึงเป็นหนึ่งในทีมสตันท์ให้กับภาพยนตร์แอ็กชันอีกหลายเรื่อง 

 

กระทั่งปี 2014 David Leitch ก็ได้จับมือร่วมกับ Chad Stahelski เพื่อนร่วมงานของเขาในการนั่งแท่นผู้กำกับร่วมในภาพยนตร์แอ็กชันยอดฮิตเรื่อง John Wick ที่ประสบความสำเร็จแบบเกินคาด และส่งให้ชื่อของพวกเขากลายเป็นผู้กำกับสายแอ็กชันที่น่าจับตาอย่างรวดเร็ว 

 

จากนั้น David Leitch เริ่มเดินหน้าสร้างสรรค์ภาพยนตร์แอ็กชันในสไตล์ของตัวเองออกมามอบความบันเทิงแก่ผู้ชมอย่างไม่ขาดสาย เริ่มกันที่ Atomic Blonde (2017) ที่ได้ Charlize Theron มารับบทเป็นสายลับ MI6 ฝีมือเยี่ยม, เรื่องราวภาคต่อของฮีโร่สุดเกรียนอย่าง Deadpool 2 (2018), Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) ผลงานภาคแยกของแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปอย่างล้นหลาม, Bullet Train (2022) ที่ได้ Brad Pitt และ Aaron Taylor-Johnson มาร่วมรับบทนำ และผลงานล่าสุดอย่าง The Fall Guy ที่เขาอยากให้ผลงานครั้งนี้เป็นจดหมายรักถึงอาชีพสตันท์แมนที่เขาหลงรัก 

 

 

จดหมายรักถึงอาชีพสตันท์แมน

 

สำหรับ The Fall Guy คือภาพยนตร์แอ็กชันคอเมดี้ที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์แนวแอ็กชันผจญภัยในชื่อเดียวกันของผู้สร้าง Glen A. Larson ที่ออกฉายในปี 1981 และนำแสดงโดย Lee Majors บอกเล่าเรื่องราวของ Colt Seavers สตันท์แมนผู้มีความสามารถรอบด้าน แต่ชีวิตอีกด้านเขาคือนักล่าเงินรางวัลที่คอยออกตามล่าเหล่าอาชญากร ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ถือเป็นผลงานที่ David Leitch ชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาและสตันท์แมนอีกมากมายในยุคต่อมา 

 

เมื่อภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของสตันท์แมนอยู่ในมือของผู้กำกับที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการสตันท์แมนมาอย่างยาวนาน David Leitch และ Kelly McCormick ภรรยาของเขาและโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ จึงหมายมั่นให้ The Fall Guy เป็นจดหมายรักถึงอาชีพสตันท์แมนและทีมงานเบื้องหลัง เพื่อยกย่องผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์แอ็กชันสุดมันมากมาย แต่อาจไม่ได้รับการกล่าวถึงเท่าที่ควร 

 

David Leitch และทีมสร้างจึงตั้งใจหยิบทุกเทคนิคการสร้างสรรค์ฉากแอ็กชันแบบดั้งเดิมมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉากระเบิด ฉากจุดไฟเผาตัว ฉากขับรถไล่ล่า ฉากขับรถพลิกคว่ำ ฉากกระโดดจากที่สูงโดยไม่ใช้สายรัดตัว โดยใช้วิชวลเอฟเฟกต์ให้น้อยที่สุด อีกทั้งด้วยความที่ The Fall Guy มีเนื้อหาแบบ ‘หนังซ่อนหนัง’ ที่ผู้ชมจะได้ติดตามเรื่องราวการถ่ายทำภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ของตัวละครหลักอย่าง Jody จึงเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและทีมสร้างได้นำเสนอเบื้องหลังการทำงานและขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการสร้างฉากแอ็กชันสเกลใหญ่ของทีมสตันท์ให้ผู้ชมได้เห็นอย่างเต็มที่ไปพร้อมกัน

 

 

โดยหนึ่งในฉากไฮไลต์สำคัญของเรื่องคือ ฉากการขับรถพลิกคว่ำหรือ Cannon Rolls ของ Colt ที่ผู้กำกับและ Logan Holladay สตันท์แมนผู้รับหน้าที่ขับรถในฉากดังกล่าว ตั้งใจสร้างสถิติโลกด้วยการถ่ายทำฉากรถพลิกคว่ำให้ได้มากถึง 8 รอบครึ่ง แซงหน้าสถิติเดิมของภาพยนตร์เรื่อง Casino Royale (2006) ที่เคยทำไว้ที่ 7 รอบ ซึ่ง Logan Holladay ก็ได้รับการจดบันทึกจาก Guinness World Records จากการถ่ายทำฉากรถพลิกคว่ำที่มีจำนวนรอบมากที่สุดในโลกได้สำเร็จ

 

โดยการจัดฉายภาพยนตร์รอบพิเศษที่ลอสแอนเจลิสในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Ryan Gosling ได้กล่าวชื่นชมทีมสตันท์ผู้อยู่เบื้องหลังฉากเสี่ยงตายของภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ว่า “เขา (Logan Holladay) อุ้มผมขึ้นรถเพื่อแสดงฉากสตันท์ของเขา จากนั้นเขาก็ขับรถพลิกคว่ำ 8 รอบครึ่งที่กลายเป็นสถิติโลก จากนั้นเขาก็พาผมออกมาจากรถและตบหลังผมให้กลับไปแสดงต่อในฉากที่เขาเพิ่งทำไป ในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ คุณจะไม่มีทางรู้เลย แต่คุณจะได้รู้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือการขาดการยอมรับในการมีส่วนร่วมของสตันท์แมนในการสร้างภาพยนตร์ และโมเมนต์ที่ดีที่สุดของภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบ ซึ่งมันจบลงตรงนี้” 

 

ด้าน Logan Holladay เล่าถึงการได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “พ่อของผมเป็นสตันท์แมน ดังนั้นอิทธิพลของฉากในภาพยนตร์และโลกของสตันท์จึงอยู่ที่นั่นเสมอ เมื่อผมทราบเกี่ยวกับ The Fall Guy ที่เข้าสู่ขั้นตอนการถ่ายทำ ผมรู้ว่าผมต้องเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับฉาก Cannon Rolls หลังจากที่เราฝึกซ้อมกันสองครั้งและถ่ายจริงอีกหนึ่งครั้ง เราเหลือรถเพียงหนึ่งคันและถ่ายได้อีกเพียงช็อตเดียว และหลังจากที่ผมทำได้ 8 รอบครึ่ง ผมรู้สึกดีมากๆ ที่ผมทำลายสถิติ มันเป็นช่วงเวลาที่เหนือจริง และผมภูมิใจกับความสำเร็จของทีมงาน” 

 

 

อีกหนึ่งฉากสำคัญที่ปรากฏในตัวอย่างคือ ฉากที่ Ryan Gosling ต้องเกาะท้ายรถเก็บขยะเสมือนว่าเขากำลังเล่นเซิร์ฟ ซึ่งฉากดังกล่าวทีมสร้างก็ได้ตัดสินใจปิดถนนบนสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์เพื่อถ่ายทำฉากดังกล่าว และยังเป็นหนึ่งในฉากที่ Ryan Gosling เล่นฉากแอ็กชันนี้ด้วยตัวเอง โดยเขาจะต้องเกาะอยู่หลังรถเก็บขยะที่กำลังออกวิ่งด้วยความเร็ว 40 ไมล์ต่อชั่วโมง 

 

ขณะเดียวกัน แม้ตัวภาพยนตร์จะอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชันที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อยกย่องอาชีพสตันท์แมนและทีมงานเบื้องหลัง แต่แกนหลักสำคัญที่คอยขับเคลื่อนเรื่องราวของ The Fall Guy นั่นคือ เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลักอย่าง Colt และ Jody ซึ่งการกำกับภาพยนตร์แนวแอ็กชันที่ผสมผสานความโรแมนติกและคอเมดี้ ถือเป็นความท้าทายและน่าตื่นเต้นที่ผู้กำกับ David Leitch อยากลองทำอีกด้วย 

 

 

ทีมงานเบื้องหลังและนักแสดงมากฝีมือ 

 

นอกจากผู้กำกับ David Leitch แล้ว The Fall Guy ยังได้ Drew Pearce หนึ่งในทีมเขียนบทจาก Mission: Impossible – Rogue Nation (2015) และ Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw มารับหน้าที่เขียนบท พร้อมด้วย Jonathan Sela จาก John Wick และ Bullet Train มานั่งแท่นผู้กำกับภาพ, David Scheunemann จาก Atomic Blonde มารับหน้าที่ออกแบบงานสร้าง,

Elísabet Ronaldsdóttir จาก Deadpool 2 มารับหน้าที่ตัดต่อ และ Dominic Lewis จาก The King’s Man (2021) มารับหน้าที่ประพันธ์ดนตรีประกอบ 

 

เสริมทัพด้วยทีมนักแสดงระดับแถวหน้า นำโดย Ryan Gosling, Emily Blunt, Aaron Taylor-Johnson จาก Bullet Train, Hannah Waddingham จาก Sex Education (2019), Stephanie Hsu จาก Everything Everywhere All at Once (2022) และ Winston Duke จาก Black Panther (2018)

 

รับชมตัวอย่างได้ที่

 

 

 

ภาพ: Universal Pictures

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising