วันนี้ (4 เมษายน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 33 สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ซึ่งสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเคยให้คำสัญญาไว้ว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารให้เป็นรูปแบบสมัครใจ จะลดจำนวนนายพลลง และลดการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงจะเอาพื้นที่ที่เกินจำเป็นของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์
“แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นแค่การสมยอมกับกองทัพ เพื่อปรุงแต่ง ตบตาประชาชน นโยบายที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ทำแล้ว ทำอยู่ มาทำต่อ แล้วใช้คำโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่านี่คือการปฏิรูปกองทัพแล้ว”
แม้รัฐบาลจะอ้างถึงยอดสมัครทหารออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อนำมารวมกับยอดสมัครแบบวอล์กอินแล้ว กลับมีแนวโน้มลดลง ส่วนการลดจำนวนความต้องการกำลังพลนั้นก็ไม่มีอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ทำอยู่แล้ว คือการบรรจุกำลังพล 70% ของความต้องการจริง การลดกำลังพลแบบต้วมเตี้ยมเช่นนี้ เป็นเพียงการซื้อเวลาในการปฏิรูปกองทัพออกไป
วิโรจน์ยังตั้งข้อสังเกตถึงการลดจำนวนนายพลว่า ความจริงโรงเรียนเตรียมทหารรับนักเรียนลดลงอยู่แล้ว 150 คนต่อรุ่น รัฐบาลไม่ควรฉกฉวยจำนวนดังกล่าวมาเคลมเป็นผลงาน เช่นเดียวกับโครงการ Early Retire ที่ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ตั้งแต่ปี 2563 สมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ แบบตั้งคำถามว่าหากโครงการนี้สำเร็จงบประมาณของกองทัพจะลดลงหรือไม่
ส่วนเรื่องที่ดินราชพัสดุ 12 ล้านไร่ ถูกครอบครองโดยกองทัพถึง 6.25 ล้านไร่ มีที่ดินรกร้างหรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มประสิทธิภาพ ที่ดินบางส่วนนำไปใช้ทำสวัสดิการธุรกิจ ทั้งสนามกอล์ฟ สถานพักตากอากาศ สนามมวย โดยไม่มีความโปร่งใส และกิจการของกองทัพมีกำไรเพียงน้อยนิด ขณะที่ภาคเกษตรกำลังขาดที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเศรษฐาตั้งโครงการนำที่ดินของกองทัพมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ โดยตั้งชื่อว่า ‘โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ หรือหนองวัวซอโมเดล’ แต่แท้จริงไม่ใช่โครงการใหม่ แต่ทำมาตั้งแต่ปี 2547 แทนที่รัฐบาลจะเร่งพิสูจน์สิทธิให้ประชาชนที่ยืนยันว่าครอบครองที่ดินมาก่อนจะมีกฎหมายต่างๆ ด้วยซ้ำ กลับเอาโครงการเก่ามาปัดฝุ่นเปลี่ยนชื่อ แล้วบีบให้ประชาชนมาเช่าที่ดิน
วิโรจน์ยังระบุว่า ควรพอได้แล้วกับการนำภาษีของประชาชนไปแลกอาวุธมาดื้อๆ แต่รัฐบาลควรมีข้อแลกเปลี่ยน หรือชดเชยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจปากท้องให้ประชาชน แต่เรือฟริเกตวงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท ที่กองทัพเรือขอจัดซื้อแต่ถูกตัดงบทิ้ง ทั้งที่เรือฟริเกตมีความจำเป็นในการคุ้มครองความมั่นคงทางทะเลมาก แล้วเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านตอนนี้กองทัพเรือของไทยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควร
“การตัดงบประมาณเรือฟริเกตลำนี้ เป็นการตัดโอกาสการพัฒนาของประเทศ ตัดโอกาสด้านวิศวกรรมการต่อเรือของคนไทย แล้วกว่างบประมาณก้อนนี้จะเข้ามาใหม่ได้ ผมตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานก็ยังไม่พบ เป็นไปได้ว่างบประมาณปี 2568 ก็อาจยังไม่ทัน เข้าอีกทีก็ปี 2569 เพราะงบประมาณรายการการก่อหนี้ผูกพันวงเงินเกินตั้งแต่พันล้านบาทขึ้นไปต้องผ่านหลายขั้นตอน” วิโรจน์กล่าว
เศรษฐางงฝ่ายค้าน หนุนซื้อเรือรบ
ต่อมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงทันที โดยระบุว่า วันนี้อุตส่าห์มาฟังฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของกระทรวงกลาโหม กองทัพ ความจริงแล้วก็เรื่องเดิมๆ ผิดหวังนิดหน่อย เพราะมีแต่อะไรที่น้ำๆ ทั้งนั้น พร้อมยืนยันว่ากองทัพมีไว้เพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่งของใครคนใดคนหนึ่ง
“เรื่องวาทกรรมด้อยค่าต่างๆ ที่บอกว่าภาพลักษณ์ตกต่ำ ใช้ IO ดำมืดล้ำลึก เรื่องต่างๆ เหล่านี้ผมว่าให้เวลาเถอะครับ ให้เวลารัฐบาลบริหารงานให้ครบ 4 ปี จริงๆ แล้วประชาชนก็จะตระหนักดีตอนจบเองแล้วกัน ว่าคนที่ใช้ IO พยายามครอบงำให้คนหน้ามืดตามัวจริงๆ แล้วคือใคร” เศรษฐากล่าว
เศรษฐากล่าวต่อว่า เรื่องของ สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่พยายามทำอยู่คือการพัฒนาร่วมกัน แม้ฝ่ายค้านจะใช้คำว่า ‘ปฏิรูป’ แต่ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลมีการพัฒนากองทัพที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสมัครใจเกณฑ์ทหาร และการจัดหาอาวุธที่ได้มีการพูดคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เชื่อว่าให้ระยะเวลารัฐบาลอีกสักพัก เราคงเห็นผลงานที่พยายามทำอยู่อย่างต่อเนื่อง
เศรษฐาระบุอีกว่า รัฐบาลนี้ได้มีการดำเนินการในเรื่องการขอคืนพื้นที่ทหาร เช่น หนองวัวซอโมเดล แม้จะผ่านมาหลายรัฐบาลแต่ยังไม่คืบหน้า แต่ตนได้มีการเชิญผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มาพูดคุย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ทหารในจังหวัดลพบุรี ที่ทหารจะคืนพื้นที่มาใช้ทำระบบชลประทานให้กับประชาชนด้วยเหมือนกัน ยืนยันเรื่องกองทัพมีความคืบหน้าเรื่องคืนพื้นที่ต่างๆ ให้ประชาชนมีพื้นที่ทำกินมากขึ้น
“เรื่องของเงินทอนจากการจัดหายุทโธปกรณ์ ท่านก็พูดมาหลายหน ก็ขอให้มีหลักฐานมาพูดคุยกัน อย่างเรื่องเรือฟริเกตที่ท่านเชียร์เหลือเกิน หากผมพูดกลับไปว่าท่านก็คงมีเงินทอน ท่านก็คงไม่พอใจเหมือนกัน ผมว่าเรื่องนี้เอาหลักฐานมาพูดกันดีกว่า และเรื่องของเรือฟริเกตนั้นที่สนับสนุนให้มีการต่อเรือในประเทศไทยเป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่ยังมีเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายมิติที่ต้องพูดคุยกันอยู่ เพื่อให้กองทัพได้ของที่ดีที่สุด ผมฟังการอภิปรายมา 40 นาทีแล้ว ก็ยังเห็นว่าเป็นฝ่ายค้านที่งงอยู่ เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกว่า ให้เอาเรือประมงมาแทนเรือรบ แต่วันนี้กลับสนับสนุนให้ซื้อเรือรบอีก ก็งุนงงมาก”
เศรษฐาทิ้งท้ายว่า นอกจากเรื่องวาทกรรม เรามาคุยเรื่องเนื้องานดีกว่า รัฐบาลพยายามที่จะพัฒนากองทัพต่อไปในเรื่องของการซื้ออาวุธให้โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต คำนึงถึงผลประโยชน์กับภาคธุรกิจอื่นๆ ยืนยันอีกครั้งว่ากองทัพมีไว้เพื่อความมั่นคง ไม่ได้มีไว้เพื่อความมั่งคั่งของใครคนใดคนหนึ่ง