วันนี้ (28 มีนาคม) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม หลังจากเจ้าหน้าที่พาตัว จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางกลับประเทศไทยหลังลี้ภัยทางการเมือง 15 ปี มาดำเนินคดีตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่ ซึ่งใช้เวลาในการดำเนินการเอกสารและยื่นประกันตัวนานกว่า 4 ชั่วโมง
ทันทีที่ลงมาที่ชั้น 1 ของกองบังคับการปราบปราม จักรภพได้เข้าไปถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
พร้อมให้สัมภาษณ์เปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก โดยระบุว่า วันนี้ได้กลับจากต่างประเทศมามอบตัวเพื่อสู้คดีที่เหลืออยู่ 2 คดี เป็นคดีอาวุธทั้งสองคดี ที่ศาลจังหวัดอยุธยา 1 คดี และที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก 1 คดี
ก่อนจะกลับมาได้ประสานกับทนายความ ซึ่งได้ประสานกับทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ ทำให้กระบวนการในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และตนประทับใจเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก เพราะการอธิบายขั้นตอนต่างๆ ในวันนี้เป็นไปอย่างครบถ้วน ทำให้ตนทราบสิทธิของตนเองและตอบคำถามได้อย่างมั่นใจ ถือเป็นการพัฒนาระบบตำรวจที่ดีขึ้นมาก ทำให้มีความมั่นใจว่าจะสู้คดีได้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม
การที่ตนออกจากประเทศไทยในปี 2552 และกลับมาในวันนี้ เป็นเวลา 15 ปีเต็ม รู้สึกว่าเสียดายเวลาที่จะได้รับใช้ประเทศชาติ ดังนั้นจากนี้ไปตั้งใจว่าจะกลับมารับใช้ประเทศไทยในบทบาทต่างๆ ที่ทำได้ เรื่องการเมืองก็เป็นทางหนึ่ง รวมถึงการทำงานทางด้านการต่างประเทศ แต่ก็ต้องรอให้พ้นจากเรื่องคดีก่อน
ซึ่งเมื่อพ้นคดีแล้วก็จะขอทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้คิดที่จะมาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างความวุ่นวายอะไรเรื่องการเมืองแน่นอน ส่วนเรื่องการทำสื่อ ถ้ายังมีพื้นที่ให้ก็พร้อมที่จะกลับเข้าไปเสริม ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับใครว่าจะไปทำงานส่วนไหน แต่หากรัฐบาลมาทาบทามให้ไปช่วยงานตนก็ยินดี
กรณีที่ก่อนหน้านี้ตนเองเคยพูดไว้ว่า ถ้าไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมจะไม่กลับมาประเทศไทยนั้น จักรภพยอมรับว่าเคยพูดคำนี้ไว้จริงเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจในปี 2549 ซึ่งตอนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ ตนไม่มีอะไรจะย้อนกลับไปแก้ไข แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาทำให้ตนคิดอะไรได้มาก และประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ตนอยู่นอกประเทศ สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าการเมืองในภาพใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลายเรื่อง โดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยที่เจริญเติบโตขึ้น
สำหรับกระแสข่าวว่ามีดีลในการเดินทางกลับมานั้น จักรภพระบุว่า คำว่าดีลฟังดูไม่ค่อยดี แต่ยอมรับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรที่ไม่ผ่านการพูดคุย แต่ไม่ใช่การคุยเพื่อเสนอข้อแลกเปลี่ยน เป็นการพูดคุยเพื่อหาจุดร่วม ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ตนกลับมาเป็นเพราะการเมืองในภาพใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
จักรภพยอมรับว่าก่อนจะเดินทางกลับมาได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ครั้งหนึ่ง ตนก็ถามว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง บรรยากาศโดยรวมเป็นอย่างไร แต่ในเรื่องคดีของตนเองก็ต้องทำการบ้านเอง ซึ่งทักษิณได้พูดคำสำคัญอยู่คำหนึ่งว่า “ยุคนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น” และหลังจากนี้ตนจะเข้าไปพบทักษิณแน่นอน เพราะคิดถึง อยากจะแวะไปถามว่าท่านมีความสุขดีไหมตอนนี้
จักรภพกล่าวขยายความต่อในประเด็นที่บอกว่าสถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้นว่า เรื่องของระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การสร้างเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูที่การทำลายด้วย ถ้าอัตราการสร้างสูงกว่าการทำลายก็ถือว่าสถานการณ์ทางการเมืองเป็นไปด้วยดี แต่ถ้าสร้างไม่ทันการทำลายก็ถือเป็นเรื่องลบ
ในส่วนของคดีความ วันนี้ได้ให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา ส่วนจะให้การเพิ่มเติมอย่างไรทางเจ้าหน้าที่นัดหมายอีกครั้งคือวันที่ 22 และ 23 เมษายน 2567
จักรภพระบุว่า ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมามีโอกาสได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองของประเทศไทยมาตลอด เรียกว่าถือเป็นหนี้บุญคุณของโซเชียลเน็ตเวิร์กและสื่อมวลชนที่คอยรายงานข่าวสารมาอย่างดี ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตนอยากจะกลับเมืองไทย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา 15 ปีมีโอกาสได้เดินทางไปที่ใด ประเทศใดบ้าง จักรภพยอมรับว่าเวลาที่ผ่านมาเหมือนอิเหนาที่ระหกระเหินไปเรื่อยๆ ความลำบากกายไม่เท่าไร แต่ยอมรับว่าลำบากใจ ทั้งนี้ ตนไม่สามารถระบุประเทศได้ แต่ที่ผ่านมาได้ไปอยู่ในประเทศที่เขาเข้าใจและเห็นใจในการต่อสู้ทางการเมืองของตน ซึ่งที่ผ่านมาอาศัยอยู่อย่างมีมารยาท ไม่ทำให้เจ้าภาพต้องอึดอัดหรือทำให้เขาต้องเดือดร้อนในภายหลัง รวมทั้งหมด 5 ประเทศ บางประเทศอยู่อาศัยนานเกือบ 10 ปี
การกลับมาครั้งนี้ ช่วงแรกของการใช้ชีวิตคิดว่าต้องทำการบ้านมาก ต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ที่เปลี่ยนไป แต่สิ่งที่จะทำเป็นอันดับแรกจะไปกราบพ่อกับแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยร่างของแม่ที่ยังไม่ได้ฌาปนกิจอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ส่วนพ่อที่ฌาปนกิจไปแล้วจะไปกราบที่บ้านของน้องสาว และหลังจากนั้นจะเดินทางไปสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ
ในส่วนที่ตนบอกว่าจะกลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้ง ขอเรียนว่าไม่ใช่เรื่องของการกลับไปสมัครรับเลือกตั้งหรือรับตำแหน่งทางการเมือง อาจจะอยู่ทางนโยบายทางการเมืองหรือการพัฒนาแนวคิดทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้หากมีใครสนใจตนและติดต่อมาก็ไม่ปฏิเสธ
เมื่อถามถึงบทบาทการเป็นคนกลางในการพาผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับเข้าประเทศไทยอีกครั้ง จักรภพกล่าวว่า ในที่นี้ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่จะเป็นคนที่ลี้ภัยทางการเมืองทั้งหมด แต่นั่นหมายถึงเจ้าตัวจะต้องเต็มใจที่จะกลับมาด้วย ส่วนกรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทราบว่ามีคดีรับจำนำข้าวค้างอยู่ในกระบวนการ แต่ตนคิดว่าท่านเองก็อยากกลับบ้านเหมือนกับทุกคน แต่ในส่วนตัวคงไม่มีสติปัญญาและความสามารถพอที่จะไปช่วยเหลืออดีตนายกรัฐมนตรีได้เต็มรูปแบบ ตนคงจะช่วยเท่าที่ตนพอช่วยได้
ตนขอยืนยันอีกครั้งว่า การตัดสินใจกลับมาประเทศไทยไม่ใช่เพราะอำนาจของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เพียงแต่รัฐบาลเพื่อไทยเป็นแกนที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจว่าบรรยากาศการเมืองเคลื่อนไปในทิศทางที่ดี
แต่ทั้งนี้ ตนก็ไม่ยืนยันว่าสถานการณ์ของตัวเองจะสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะก็ต้องยอมรับว่าตนก็ยังต้องกลับมาเข้ากระบวนการยุติธรรมเหมือนผู้ต้องหารายอื่นๆ นั่นหมายถึงว่าก่อนหน้าที่จะกลับมาไม่ได้มีการดีลหรือสร้างข้อตกลง แต่เป็นการพูดคุยหารือกัน
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะกลับประเทศไทยลำดับต่อไปคาดว่าเป็น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ปัญหาตอนนี้คือเรื่องหนังสือเดินทางเท่านั้น ส่วนของยิ่งลักษณ์ยังเป็นประเด็นที่ใหญ่เกินไป ตนขอช่วยเหลือในส่วนของต้นไม้ในกระถางก่อน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการบริหารงานของรัฐบาลเพื่อไทยยุค เศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมามีความคิดเห็นอย่างไร จักรภพกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ขยันมาก เป็นลักษณะลุยทำงาน จากนี้ตนขอพิจารณาไปเรื่อยๆ ก่อน แต่เท่าที่เห็นคือท่านทำงานในลักษณะขอทำงานไปข้างหน้าก่อน แล้วค่อยมาสรุปวิเคราะห์ตามหลัง ซึ่งตนคิดว่าเป็นทัศนคติที่ดี
ท่านมีจุดแข็งสำคัญคือ ท่านเคยบริหารงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน เพราะฉะนั้นท่านก็สามารถบริหารโครงการต่างๆ ของรัฐบาล 10 โครงการ หรือ 20 โครงการได้ เป็นผู้ที่มีรอยหยักในสมองเยอะ ทำหลายเรื่องได้พร้อมกัน
ตนไม่ได้มีคำแนะนำเป็นพิเศษ เพียงแต่อยากจะบอกว่า ควรจะมีทีมงานในการจับตามองการเปลี่ยนแปลงระหว่างประเทศ อย่าทิ้งเรื่องนี้ เพราะเป็นประโยชน์ต่อคนในประเทศ เรื่องที่ 2 รัฐบาลควรต้องมุ่งหน้าไปที่กลุ่มคนที่ยังไม่มีอุปกรณ์หรือทรัพยากรต่อสู้ด้วยตัวเอง คนที่เป็นกลุ่มที่ต่ำที่สุดในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งทราบว่ารัฐบาลก็กำลังเดินหน้าไป ทั้งนี้ ในทิศทางภาพรวมของการเมืองไม่ใช่หวังพึ่งเพียงแค่รัฐบาลดีอย่างเดียวเท่านั้น จะต้องดูที่ฝ่ายค้านด้วยว่าดีหรือไม่ดี
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลถูกยื่นยุบพรรค จักรภพกล่าวว่า ตนเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดขึ้น แต่ขออนุญาตสงวนความเห็น เพราะตนเพิ่งกลับมาถึงประเทศไทย แต่คิดว่าเป็นเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตยที่ต้องดูว่าอะไรที่เป็นไปได้ในช่วงนี้ ถ้ามีใครที่เป็นวีรชนช่วงนี้ วีรชนนั้นก็คือออกไปทดลองระบบว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่เหลืออยู่