วันนี้ (26 มีนาคม) ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการลงทุนและความร่วมมือภาคเอกชนต่างชาติว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไป 14 ประเทศ หารือกับบริษัทชั้นนำกว่า 60 บริษัท และยืนยันมีบริษัทเข้ามาลงทุน อาทิ AWS ประกาศลงทุนในไทย 2 แสนล้านบาท มีอีก 2 บริษัทระดับโลกกำลังเจรจาอยู่ ซึ่งอยู่ในส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผลิตไมโครชิป ทำให้ไทยก้าวสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
ทั้งนี้ ม.ล.ชโยทิต ชี้ถึงปัจจัยความสำเร็จในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ จำเป็นต้องเตรียมความสามารถในการแข่งขันทุกมิติ ทั้งด้านพลังงานหมุนเวียน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แรงงานทักษะสูง และความเป็นกลางทางภูมิศาสตร์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ประเทศไทยมีการเตรียมการรองรับไว้แล้ว
ในส่วนของพลังงานหมุนเวียน ไทยได้เปรียบเพราะเรามีแผนพลังงานสะอาด โดยเดินหน้าเข้าสู่ Low Carbon Society ซึ่งไทยผลิตไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซ 70% มีแผนชัดเจนภายในปี 2040 ไม่มีการใช้พลังงานจากถ่านหินแล้ว ให้เป็นฐานอุตสาหกรรมที่สะอาดที่สุดในภูมิภาคนี้
ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไทยมีการเตรียมพร้อมระบบราง ท่าเรือขนส่งสินค้า การปรับปรุงสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับแผนไทยเป็นฮับการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยว 60 ล้านคน เปรียบไทยเป็นศูนย์กลางของแหลมทอง หากมีการคมนาคมที่สมบูรณ์แบบ รับรองว่าจะมีคนมาใช้บริการ รวมถึงมีการเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ รองรับการคมนาคมขนส่งเดินเรือหลังช่องแคบมะละกา มีการจราจรที่หนาแน่น ดังนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต่างชาติให้ความสำคัญว่าไทยไม่ได้ดีแต่พูด แต่ทำจริงๆ
ทั้งนี้ ในส่วนภูมิรัฐศาสตร์ ถือว่าเราทำตัวเป็นกลาง เราไม่มีพรมแดนติดกับมหาอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะมองว่าการที่มีพรมแดนติดกับมหาอำนาจจะมีความหนาวและร้อนในเวลาเดียวกัน ถือเป็นจุดแข็งที่เรามี ทำให้ไทยสามารถทำตัวเป็นกลางได้อย่างแท้จริง
ม.ล.ชโยทิต ระบุว่า บริษัทที่เข้าหารือกับประเทศไทย แบ่งออกเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยกำลังผลักดัน ประกอบด้วย ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล เกษตรกรรมและอาหาร การท่องเที่ยว การเงิน การลงทุน และอื่นๆ เช่น โลจิสติกส์
ด้านการท่องเที่ยว หลังจากฟรีวีซ่าคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาใช้เงิน 1 ล้านคน ใช้เดือนละ 1 แสนบาท 1 ปีใช้เงิน 1.2 ล้านบาทต่อหัว ซึ่งคำนวณแล้วจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวสะพัดมากแค่ไหน
ม.ล.ชโยทิต ยืนยันว่า ทีมงานของไทยได้ทำงานอย่างขะมักเขม้น เพื่อประกาศเกียรติศักดิ์ของประเทศไทยว่ากลับมาแล้ว ประเทศไทยถูกกล่าวขานว่าเป็นสาวที่ค่อนข้างมีอายุแล้ว แล้วจะกลับมาเป็นสาวที่มีอายุและทันสมัยอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ทีมงานต้องเตรียมการ เพื่อไปติดตามงานในต่างประเทศอย่างจริงจัง
ด้าน นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า จากการดำเนินการดังกล่าว เป็นผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 BOI ได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี เมื่อพิจารณาเฉพาะมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน และในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 มูลค่า FDI ขยายตัวกว่า 145% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในช่วงปีที่ผ่านมา
ซึ่งรัฐบาลและ BOI ได้กำหนดยุทธศาสตร์เน้นหนักในการดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะใน 4 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์, Data Center และ Cloud Services รวมถึงกิจการสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ
อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นอนาคตที่สำคัญของโลก รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จึงดำเนินมาตรการสนับสนุนหลากหลายรูปแบบ ทั้งดึงดูดผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่เข้ามาลงทุน และสนับสนุนผู้ผลิตรายเดิมให้สามารถปรับตัวได้ ซึ่งผลจากการดำเนินงาน ทำให้บริษัทผู้ผลิตจากจีนหลายรายในระดับท็อป 10 ของโลก เช่น BYD, AION, CHANGAN, GWM และ MG เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก และจากการเจรจาครั้งสำคัญเมื่อปีที่แล้วที่กรุงโตเกียว ทำให้ 4 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นชั้นนำมีแผนการขยายการลงทุนรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาทภายใน 5 ปี สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และการรักษาธุรกิจ ICE ในปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลยังคงเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากยุโรปและอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ชั้นนำของโลก คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อย่างน้อย 2 รายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ผ่านมาไทยประสบความสำเร็จในการดึงการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำมาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าพัฒนาให้เกิดระบบนิเวศด้วยการดึงดูดกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เช่น การผลิตชิปต้นน้ำ การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ การรับจ้างผลิตและทดสอบชิปขั้นสูง เข้ามายังประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมให้มีมูลค่าสูง สร้างงานทักษะสูงในประเทศ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจากับบริษัทระดับโลกหลายราย พร้อมพัฒนาบุคลากรไทยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้
ในด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะด้าน Data Center และ Cloud Services ซึ่งเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรม AI คาดว่าภายในปีนี้จะมีผู้ให้บริการระดับ Hyperscale เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องหลายแสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคได้
ประเด็นสุดท้ายคือ การดึงดูดบริษัทชั้นนำให้ตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ รวมถึงศูนย์กลางการเงินและโลจิสติกส์ของภูมิภาคนี้ โดยในปีที่ผ่านมา มีบริษัทต่างชาติรายใหญ่หลายรายเลือกไทยในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค ส่งผลให้มีแรงงานทักษะสูงระดับผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย
นอกจากนั้น รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการจูงใจให้ภาคเอกชนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานการผลิตในไทยและอาเซียน รวมทั้งกลุ่มธุรกิจบริการต่างๆ เช่น ดิจิทัล การเงิน โลจิสติกส์ ไปจนถึงธุรกิจแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ซึ่งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทยในหลายๆ ด้าน โดยนอกเหนือจากปัจจัยด้านธุรกิจ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรที่มีคุณภาพ และต้นทุนทางธุรกิจที่เหมาะสมแล้ว ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตสำหรับกลุ่มคนทำงานด้วย เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบรักษาพยาบาล โรงเรียน และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ โดยในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทใหญ่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 5 ราย
ทั้งนี้ การเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งต้องมีการทำงานเพื่อเตรียมการก่อนไป ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมข้อมูลเชิงลึก แพ็กเกจการลงทุนที่จูงใจและตอบโจทย์ต่อความต้องการของนักลงทุน รวมถึงการทำงานเพื่อติดตามผลการประชุมอย่างเข้มข้นต่อเนื่องโดยทีมงานของนายกรัฐมนตรีร่วมกับทีม BOI เพื่อช่วยแก้อุปสรรคปัญหา รวมไปถึงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อทำให้ประเทศไทยเอื้อต่อการลงทุน ซึ่งในส่วนนี้ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และทีมรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดย BOI ได้ประเมินเม็ดเงินลงทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกิจกรรม Road Show และมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลจาก 4 อุตสาหกรรมหลักที่ได้กล่าวมา รวมแล้วประมาณ 558,000 ล้านบาท
นอกจากการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนต่างชาติ เรายังเห็นความคืบหน้าการดำเนินงานในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟรีวีซ่า ซึ่งได้มีการเจรจาและเกิดขึ้นแล้วกับจีน คาซัคสถาน และอินเดีย และอีกหลายประเทศที่กำลังดำเนินการความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร การเปิดช่องทางการค้าใหม่ๆ เพิ่มความสัมพันธ์ในการลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และการผลักดันด้านความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน โดยประชาชนไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการสร้างความร่วมมือกับรัฐบาล องค์กร และบริษัทชั้นนำของโลก ผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาทักษะและศักยภาพของแรงงานให้สูงขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักบนเวทีโลกในแง่ของการเป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชีย และท้ายที่สุดแล้วประชาชนคนไทยจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนจากการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการในอนาคต