ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา หรือ Supreme Court ได้ตัดสินคดีที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี และผู้แทนพรรครีพับลิกันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีปี 2024 (อย่างไม่เป็นทางการ) โดยที่ผลการตัดสินนั้นเป็นคุณกับทรัมป์ทั้งสองคดี ซึ่งนั่นก็ทำให้ความหวังของฝ่ายซ้ายที่จะใช้กลไกทางศาลหรือตุลาการภิวัตน์ในการป้องกันไม่ให้ทรัมป์ขึ้นมามีอำนาจอีกครั้งนั้นแทบจะเป็นศูนย์ไปแล้ว และนั่นก็แปลว่าหนทางเดียวที่พวกเขาจะป้องกันไม่ให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ได้สำเร็จก็คือต้องผ่านหีบเลือกตั้งเท่านั้น
ศาลสูงสุดตัดสินว่า ทรัมป์ ไม่ขาดคุณสมบัติในการเป็นประธานาธิบดี
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ศาลสูงสุดของมลรัฐโคโลราโดได้ตัดสินว่าทรัมป์ขาดคุณสมบัติในการเป็นประธานาธิบดี และไม่มีสิทธิที่จะลงเลือกตั้งในมลรัฐโคโลราโด โดยศาลสูงของมลรัฐดังกล่าวได้อ้างรัฐธรรมนูญในข้อแก้ไขที่ 14 (Fourteenth Amendment) ที่ห้ามผู้ที่เคยก่อการกบฏ (Insurrection) ต่อรัฐบาลกลางดำรงตำแหน่งทางการเมือง (รวมถึงตำแหน่งประธานาธิบดี) ซึ่งตุลาการของศาลสูงสุดของมลรัฐโคโลราโดมองว่า บทบาทของเขาในการชี้นำและปลุกปั่นให้ฝูงชนเข้ายึดอาคารรัฐสภาเมื่อเดือนมกราคม 2021 นั้นเข้าข่ายการกระทำอันเป็นกบฏ
แน่นอนว่าคำตัดสินนี้ส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงในทางการเมือง เพราะมันคือกระบวนการตุลาการภิวัตน์ในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งมากอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งยึดหลักการว่าเสียงของประชาชนต้องเป็นคำตัดสินสูงสุด
แน่นอนว่าคดีที่สำคัญเช่นนี้ย่อมถูกนำมาพิจารณาอีกรอบโดยศาลสูงสุดของสหรัฐฯ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลสูงสุดก็ได้ตัดสินโดยมีมติเป็นเอกฉันท์ที่ 9 ต่อ 0 เสียง (รวมถึงตุลาการสายเสรีนิยมอย่างโซโตเมเยอร์, เคแกน และแจ็คสัน) ให้กลับคำตัดสินของศาลสูงสุดของมลรัฐโคโลราโด โดยที่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีถือเป็นการเลือกตั้งระดับชาติ ดังนั้นอำนาจในการตัดสินถึงคุณสมบัติของผู้สมัครจะต้องอยู่ที่สภาคองเกรส ไม่ใช่ที่รัฐบาลหรือศาลของมลรัฐ
ทรัมป์อาจจะมีเอกสิทธิ์ในฐานะประธานาธิบดี
ถึงแม้ว่าศาลสูงสุดจะตัดสินให้ทรัมป์ยังคงมีคุณสมบัติในการลงเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่วิบากกรรมของเขาจากกรณีจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคมนั้นยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากเขาถูกอัยการพิเศษอย่าง แจ็ค สมิธ สั่งฟ้องในข้อหาพยายามเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์พยายามต่อสู้ว่าสมิธไม่มีสิทธิสั่งฟ้องเขา โดยอ้างเอกสิทธิ์ (Immunity) ในฐานะประธานาธิบดี แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ของเขตวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ตัดสินว่า เขาไม่สามารถอ้างเอกสิทธิ์ในกรณีนี้ได้เพราะเป็นการกระทำที่นอกเหนือไปจากการทำหน้าที่โดยปกติของประธานาธิบดี
สมิธหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศาลสูงสุดจะไม่รับคดีเอกสิทธิ์นี้ไปพิจารณาต่อ เพื่อที่ศาลจะได้ดำเนินการให้ทั้งฝ่ายสมิธและทรัมป์นำพยานและหลักฐานในคดีจลาจลและความพยายามเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งมาไต่สวนกันในชั้นศาลก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้ประชาชนชาวอเมริกันได้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่สมิธได้รวบรวมไว้ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าพฤติกรรมของทรัมป์หลังการเลือกตั้งในปี 2020 นั้นฉ้อฉลจนเขาไม่สมควรจะได้เป็นผู้นำประเทศอีกสมัยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ศาลสูงสุดมีความเห็นว่าควรจะต้องรับคดีมาพิจารณา โดยที่จะเริ่มไต่สวนพยานในเดือนเมษายน แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าศาลสูงสุดจะตัดสินคดีเมื่อไร ซึ่งถ้าศาลตัดสินในทางเป็นคุณกับทรัมป์อีก ประชาชนชาวอเมริกันก็อาจไม่มีโอกาสได้เห็นหลักฐานที่สมิธรวบรวมไว้ หรือหากศาลสูงสุดตัดสินเป็นโทษกับทรัมป์ แต่ผลตัดสินออกมาช้า การไต่สวนในคดีจลาจลและความพยายามเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งก็อาจต้องรอไปจนหลังการเลือกตั้งอยู่ดี
เกาะติด การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ได้ที่ เว็บไซต์พิเศษ : เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 และ Facebook : THE STANDARD