Bloomberg คัด 5 ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่ร่ำรวย (Wealthy Expats) หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสหราชอาณาจักรได้ประกาศเตรียมยุติระบบสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับชาวต่างชาติที่ร่ำรวย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 มีนาคม) สหราชอาณาจักร (UK) ประกาศว่า จะยกเลิกระบบสิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับชาวต่างชาติที่ร่ำรวย หรือ ‘ผู้อยู่อาศัยที่ไม่มีภูมิลำเนา’ (Non-Domiciled Residents: Non-Dom) ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรแต่ยังมีบ้านถาวรหรือมีภูมิลำเนาอยู่นอกสหราชอาณาจักร เนื่องจากต้องการใช้ประโยชน์จากภาษีที่ต่ำกว่า
โดยปัจจุบัน Non-Dom ต้องจ่ายภาษีให้สหราชอาณาจักรเฉพาะเงินที่พวกเขาได้รับในสหราชอาณาจักรเท่านั้น และไม่ต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลสหราชอาณาจักรสำหรับเงินได้จากที่อื่นในโลก (เว้นแต่พวกเขาจะจ่ายเงินนั้นเข้าบัญชีธนาคารของสหราชอาณาจักร)
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 ผู้ที่ย้ายมาอยู่สหราชอาณาจักรจะไม่ต้องเสียภาษีจากเงินที่ได้รับในต่างประเทศในช่วง 4 ปีแรก แต่หลังจากช่วงดังกล่าว หากพวกเขายังคงอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรต่อไป พวกเขาจะต้องจ่ายภาษีเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
กระนั้น ผู้ที่อยู่ในสถานะ Non-Dom ในปัจจุบันจะมีช่วงเปลี่ยนผ่าน 2 ปี โดยในระหว่างนี้พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนให้นำสินทรัพย์จากต่างประเทศเข้ามาในระบบของสหราชอาณาจักร
โดยหนึ่งใน Non-Dom ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักรคือ Akshata Murty ภรรยาของ Rishi Sunak นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งออกมาระบุแล้วว่า เธอเตรียมจะเริ่มจ่ายภาษีให้สหราชอาณาจักรสำหรับรายได้ที่เกิดนอก UK
เปิดรายชื่อ 5 ประเทศภาษีต่ำสำหรับชาวต่างชาติที่ร่ำรวย
แอนติกาและบาร์บูดา
หลังจากนำกฎหมายภาษีใหม่มาใช้ในปี 2016 ผู้อยู่อาศัย (Residents) และผู้ที่ไม่ใช่ผู้อยู่อาศัย (Non-Residents) จะไม่ถูกเก็บภาษีจากรายได้ที่ได้รับในประเทศหรือทรัพย์สินต่างประเทศ
โดยกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศที่หวังดึงดูดนักลงทุนผู้มั่งคั่งและส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ประเทศหมู่เกาะนี้ยังไม่มีภาษีความมั่งคั่งหรือภาษีมรดกด้วย
ชาวต่างชาติยังสามารถขอสัญชาติเพื่อเดินทางเข้ายุโรปโดยไม่ต้องขอวีซ่าด้วยเงินเพียง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.5 ล้านบาท) เนื่องจากพลเมืองแอนติกาและบาร์บูดาสามารถเดินทางไปยัง 154 ประเทศโดยไม่ต้องยื่นขอวีซ่าล่วงหน้า อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปกำลังพยายามที่จะปราบปรามนโยบายปลอดวีซ่านี้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เอมิเรตส์สามารถดึงดูดผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์และนายธนาคารจากทั่วโลกมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากกฎหมายภาษีที่ไม่เข้มงวด และมาตรการอำนวยความสะดวกมากมายสำหรับผู้มีฐานะร่ำรวย
โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่เก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคล กำไรจากการลงทุน มรดก ของขวัญ หรือทรัพย์สิน และมีอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยอยู่ที่ 9% สำหรับบริษัทที่สร้างผลกำไรมากกว่า 102,000 ดอลลาร์ต่อปี
เมื่อเร็วๆ นี้ประเทศยังได้เพิ่มขยายสิทธิพิเศษผู้ที่สามารถยื่นขอวีซ่าผู้พำนักระยะยาวได้ รวมถึงผู้ประกอบการและวิศวกร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความนิยมในดูไบส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ขณะที่รายชื่อรอเข้าโรงเรียนนานาชาติและ Private Clubs ก็ลากยาวไปเรื่อยๆ
อิตาลี
ระบบภาษีสำหรับชาวต่างชาติของอิตาลีเมื่อปี 2017 สามารถดึงดูดชาวต่างชาติได้อย่างมาก จำนวนผู้ที่ย้ายไปมิลานและรับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีเหล่านี้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2021 รวมเป็นมากกว่า 1,300 คน
โดยชาวต่างชาติที่จ่ายค่าธรรมเนียมรายปี 100,000 ยูโร จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายภาษีจากรายได้ต่างประเทศ และยังไม่ต้องเสียภาษี 50% ของรายได้ในอิตาลี หากพวกเขาไม่ได้เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในช่วง 2 ปีงบประมาณก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี มาตรการเร็วๆ นี้ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์และค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้เกิดความตึงเครียดในหมู่คนท้องถิ่น
กระนั้น ขณะที่สหราชอาณาจักรและโปรตุเกสเพิ่งลดสิ่งจูงใจสำหรับชาวต่างชาติ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอิตาลีจะเป็นหนึ่งประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะจากชาวต่างชาติจากอเมริกาและตะวันออกกลางที่มองหาแหล่งเก็บเงินในประเทศยุโรปที่มีภาษีต่ำ
สิงคโปร์
แม้ปีที่แล้วสิงคโปร์ได้ปรับภาษีอสังหาริมทรัพย์ขึ้นเป็น 60% สำหรับผู้ซื้อชาวต่างชาติ อย่างไรก็ดี อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้อยู่อาศัยก็อยู่ในระดับต่ำ โดยจำกัดไว้ที่ 22% ขณะที่ภาษีนิติบุคคลมาตรฐานก็อยู่ที่ 17%
อย่างไรก็ตาม ในการซื้อบ้านมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ ผู้ซื้อชาวต่างชาติจะต้องจ่ายภาษี 65% ในสิงคโปร์ รวมถึงภาษีอื่นๆ เมื่อเทียบกับประมาณ 4% ในนิวยอร์ก 15% ในลอนดอน และ 30% ในฮ่องกง
โมนาโก
เศรษฐีหลายล้านคนยังคงแห่กันไปที่โมนาโกเพื่อสนุกสนานกับคาสิโน วิถีชีวิตที่หรูหรา และอัตราภาษีต่ำ เนื่องจากโมนาโกไม่มีการเก็บภาษีอสังหา ภาษีเงินได้ หรือกำไรจากการลงทุน
อย่างไรก็ตาม โมนาโกเป็นประเทศที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลก ตามรายงานล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษา Knight Frank โดยที่เงิน 1 ล้านดอลลาร์สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้เพียง 172 ตารางฟุต
ภาพ: John Lamb / Getty Images
อ้างอิง: