จากกรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ได้ยื่นคำร้องขอฝากขัง 2 ผู้ต้องหานักกิจกรรมกรณีขบวนเสด็จฯ ซึ่งประกอบด้วย ตะวัน-ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ แฟรงค์-ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร เป็นครั้งที่ 3 ระยะเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 9-20 มีนาคม
โดยในวันนี้ (10 มีนาคม) ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน พร้อมด้วย สมหมาย ตัวตุลานนท์ บิดาของทานตะวัน, เอกชัย หงส์กังวาน, แบม-อรวรรณ ภู่พงษ์ และ สายน้ำ-นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อยื่นคำแถลงขอให้ศาลพิจารณาไม่รับฝากขังทานตะวันและณัฐนนท์
ทิชากล่าวว่า ตนอยากเรียนข้อมูลให้สาธารณะได้รับทราบว่า ในปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศมีการคุมขังผู้ต้องโทษกว่า 250,000 ราย โดย 80% เป็นนักโทษเด็ดขาด ส่วนอีก 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว ต่อมามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าถึงที่สุดศาลยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าการคุมขัง 20% ดังกล่าวเป็นการคุมขังผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเราต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ และโอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา
ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือความสูญเสียมหาศาล นอกจากนี้ตนยังอยากย้ำว่า สิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ แต่เรากลับปล่อยให้คนจำนวน 20% เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการต่อสู้ของทานตะวัน ณัฐนนท์ และนักกิจกรรมทางการเมืองคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตั้งคำถามกับระบบที่เกิดก่อนเขา และเขาก็สงสัยในระบบเหล่านี้ มันเป็นคำถามที่ใหญ่และตบหน้าคนที่เกิดก่อนด้วยซ้ำ
ทิชากล่าวอีกว่า ตนมั่นใจว่าทุกคนรู้สึกว่าระบบยุติธรรมของไทยตอนนี้กำลังเดินทางเข้าสู่วิกฤตศรัทธา ดังนั้นการต่อสู้ของเด็กๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกอย่างเราต้องไม่อยู่เฉย และถ้าทุกคนรู้สึกว่าการอดอาหารประท้วงของพวกเขาเป็นการตัดสินใจกันเอง และถ้าอยากสาปแช่งให้เด็กเหล่านี้ติดคุกและเสียชีวิต และถ้าพวกคุณรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อการท้าทายอำนาจรัฐของเด็ก เราก็อยากบอกว่าพวกคุณกำลังลดทอนคุณค่าของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าในอนาคตกฎหมายยังไม่ได้ถูกออกแบบไว้เป็นอย่างดี วันนั้นอาจเป็นชะตากรรมของลูกหลานของพวกคุณก็ได้ที่เจอกฎหมายไม่เป็นธรรม สรุปแล้วการประท้วงเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของทานตะวัน ณัฐนนท์ และ บุ้ง เนติพร โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ต้องการระบบที่มันยุติธรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของเด็กๆ ในนาทีนี้มันเข้าสู่สัญญาณอันตราย ตนและคนข้างนอกไม่อาจอยู่เฉยได้แม้ผลจะเป็นอย่างไร
“การที่เรามาที่ศาลเพราะยังเหลือศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นจึงหวังว่าจะยังคงมีผู้พิพากษาที่มีความเป็นมนุษย์ในสถาบันแห่งนี้ที่จะกล้าหาญพอที่จะชักฟืนออกจากกองไฟให้ได้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ เพราะในอดีตเรามีประวัติศาสตร์บาดแผลมามากมายแล้ว นี่จึงเป็นอีกครั้งที่เราจะเลือกว่าจะสร้างประวัติศาสตร์บาดแผลหน้าใหม่ หรือจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นระบบที่เหมาะสมอยู่ร่วมกันได้” ทิชากล่าว
ทิชากล่าวต่อว่า แม้ผู้ใหญ่จะรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาท ไม่น่ารัก แต่คำถามคือ มันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะใช้กฎหมายตั้งข้อหาอย่างรุนแรงขนาดนี้ ตนขอถามว่า พวกคุณตอนเด็กน่ารักทุกวันหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ลูกหลานในบ้านคุณน่ารักทุกวันหรือไม่ ก็ไม่ใช่ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่ามีคนจำนวนมากในสถาบันนี้ที่จะมีความกล้าหาญช่วยชักฟืนออกจากกองไฟก่อนที่เราจะสูญเสียมากไปกว่านี้
ด้านนภสินธุ์กล่าวว่า นอกจากวันนี้ทิชาจะยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อคัดค้านการฝากขัง ยังมีบิดาของทานตะวันที่มายื่นขอประกัน เพราะเขาห่วงลูกสาวมาก นอนไม่หลับ และจะอยู่ฟังผลของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่
ภายหลังจากที่ทิชาและบิดาของทานตะวันได้ขึ้นไปยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการฝากขังและขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดได้ลงมาทำกิจกรรมจุดเทียนบนขั้นบันไดหน้าศาลอาญา พร้อมร้องเพลง แสงดาวแห่งศรัทธา และจุดเทียนพร้อมร้องเพลง เพื่อมวลชน